Your address will show here +12 34 56 78
article

เมล็ดรุทร นี่แหละ ‘ว่ากันว่า’ เป็น น้ำตาพระศิวะ เกิดจากพระศิวะเจ้าทรงเข้าฌานอยู่นาน นับพันปี เมื่อทรงถอยจากฌาน เพียงลืมพระเนตรครึ่งเดียว ก็ทรงเห็นความทุกข์ความวุ่นวายของมนุษย์ จึงหลั่งน้ำพระเนตรหยดต้องผิวโลก (แค่หยดเดียวนะ ถ้าเป็นสมัยนี้ท่านต้องร้องไห้ โฮๆ)

จึงเกิดต้น รุทรักษะ อันเป็นพืช เมล็ดเปลือกแข็ง

ลวดลายขรุขระ คล้ายพระพักตร์มหาเทพ (ต้องดูให้เป็นนะ)

แปลกคือ ถ้าน้ำตาเม็ดใหญ่ ราคาถูกกว่า น้ำตาเม็ดเล็กๆ

และยังมีทั้งหมด 4 สี หมายถึงสีธรรมชาติ แต่ที่ขายในเมืองไทย มักย้อมสี ดูเอาเองแล้วกัน

สีแดง หมายถึง วรรณกษัตริย์ นักรบ (ทหาร ตำรวจ ร.ป.ภ ใช้ได้)

สีขาว วรรณพราหมณ์

สีเหลือง วรรณแพศย์  (กระทรวงสาธารณสุขใช้ได้)

สีดำ วรรณศูทร

ฉนั้นใครที่ใช้ โอม. ของเทวาลัย ก็เลือกเมล็ด รุทรข้างใน เอาเอง หากที่เห็นจะมีสีแดงมากที่สุด แต่จะได้สีอะไรไปก็เอาไปคลุกฝุ่นสีเอาเอง หากสำหรับลวดลายจะขึ้นเป็นพระพักตร์มหาเทพองค์ใด ต้องพินิจพิจารณาเอาเองอีกเช่นกัน

ตำราบอกว่า ถ้าบำเพ็ญภาวนาดีๆ พระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏเอง

สวดมนตร์ 108 บทเท่าลูกประคำ ทุกวัน ครบ 108 วันก็จะได้

ตามคัมภีร์  ภาสิกา ปุราณะ กล่าวว่า..การใช้ลูกประคำ ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพื่อความเป็นศิริมงคล ลูกประคำหญ้าแพรก ถือว่าทำลายล้างบาปทั้งหมด (อ่านจบคงรีบไปหากันละ หาได้เอามาฝากด้วย) ลูกประคำจาก ปุตรชีวะ จะมีลูกหลานสืบสกุล (ใครมีลูกยาก ไม่ต้องเสียทรัพย์ให้หมอ แค่หาเม็ด ปุตรชีวะห้อยคอก็ได้แล้ว ) ถ้าใช้หินเขี้ยวหนุมาน สำเร็จสมความปรารถนาหมด (ถูกหวยยกชุด) ถ้าหินปะการัง (สร้อยข้อมือที่เทวาลัย มี คงหมดแล้วล่ะ อ่านก่อนจองก่อน) เพราะจะร่ำรวยที่สุด ถ้าถูกหวยก็หวยชุดใหญ่ 90 ล้าน แต่ตอนนี้ไม่มีขายแล้ว

หวยกับหาย สะกดคล้ายๆ กันนะ

ส่วนใหญ่ จะถูกหาย มากกว่าถูกหวย

ไปขุดบ่อหลังบ้าน พบโพรงพญานาคดีกว่าเนอะ

(ดูเป็นไหม ระวังเจอจงอาง)

และพระคัมภีร์ก็แถมให้ว่า

ผู้บูชา พระศิวะ และ พระแม่กาลี ควรใช้ประคำเม็ดรุทระ หรือ ไม้จันทน์ (จันทนะ = ไม้จันทร์หอม )

ผู้บูชาพระวิษณุเทพ ควรใช้ไม้กะเพรา หรือตุลสี

ผู้บูชาพระคเณศ ควรใช้ประคำ งาช้าง

(แต่ถ้ามีอะไรก็สวดๆไปเหอะ เชื่อหัวไอ้เรือง)

วิม-ลา

 

0

article

เมล็ดจากผลไม้อื่นๆ นอกจากเมล็ด รุทร (RUDRAKAK) เรียกเต็มๆต้องเป็น รุทรักษะ ใช้ทางสมาธินับเป็นเป็นลูกประคำได้ ทางตำราเรียก ปุตระชีวะ หากไม่เอ่ยว่า เมล็ดผลไม้ใด คงจะไม่ใช่ เม็ดลำไยแน่ อาจจะเป็น เมล็ดโพ มั้ง  (เขียน โพธิ์ คนไทยรู้จักดี หากต้นโพ เดิมเขียนอย่างนั้น)

ไม่ทราบว่า โพธิ์ หรือ โพ มีเมล็ดไหม (ยอดนั่งยันว่ามีเม็ดกลมๆ เอาไปเพาะๆได้)

เคยมีเพื่อนให้ เมล็ดโพหิมาลัย เมล็ดใหญ่มาก คงร้อย 108 เม็ดไม่ไหว หากลูกรีๆไม่กลม

ทางคัมภีร์ บอกถึงผลบุญจากสวดประคำ ทำจากวัสดุต่างๆ ดังนี้

ถ้าเป็นเมล็ด ‘ปุตรชีวะ’ (น่าจะแปลว่า ผลไม้ที่เพาะเมล็ดได้นะ แต่ถ้าเป็น มะม่วง ทุเรียน ล่ะจะว่ายังไง) เวลาสวดมนตร์ จะได้ ผลบุญ 10 เท่า

ถ้าประคำ เปลือกหอย เคยเห็น หอยทับทิม ไม่ใช่ หอยแครง และหอยนางรม จะได้บุญ 100 เท่า ที่ทำจากเปลือกหอยทับทิมน่ะ เป็นสองฝาปะกบกัน สวยมาก เจ้าของเขาไม่ขาย

ถ้าทำจากหินเรืองแสง น่าจะเป็น จุยเจีย สวยมากอีกหายาก เคยเห็นแต่เป็นเม็ดๆ กับที่แกะเป็นพระ ยังไม่เคยเห็นใครมี 108 เม็ด หินแบบนี้ นำผลบุญมาให้ 1,000 เท่า

ถ้าทำจาก เพชร พลอย ไม่เคยเห็นใครเจาะเพชร พลอย เคยแต่คุณนายไข่มุก ใช้ทองทำเป็นประคำ 6 หน้าประดับ เพชร – พลอยเป็น นวรัตน์ เป็นสร้อยตัวก็ได้ แกะขอแยกออกมาเป็นสร้อยข้อมือก็ได้

            (สร้อยตัว คือสร้อยสะพายเฉียงบ่า เห็นแต่ผู้หญิงรุ่นแม่สวมสร้อยตัวเป็นสร้อยทองอ่อน คือทองถักก็มี ไม่ใช่สร้อยคออย่างปัจจุบัน)

ถ้าเป็น เพชร – พลอย ได้บุญ 10 พันเท่า (ก็แค่เพชร-พลอย หากไม่มีบุญก็ซื้อไม่ไหว เคยเห็นในรูปมหาราชามีสร้อยยาว แต่ต้องไม่ใช่พระราชวงศ์ในศาสนาอิสลาม)

ถ้าเป็นไข่มุก หรือ หินเขี้ยวหนุมาน ได้บุญ 100 พันเท่า (ใจสู้ๆหน่อยนะ ไปหา มิกกิโมโต.แขวน ก็ได้บุญ 100 พันเท่าแล้ว )

สูงกว่านั้น คือ เมล็ดหญ้าแพรก (ใครเคยเห็นมั่ง)

ก้านกระเพราป่า (ตุลสี – TULSI) เคยเห็นของโยคีที่อินเดีย ซื้อก็ไม่ขาย ขอดีๆก็ไม่ให้ กะเพราป่าจะกิ่งโต เอามาตัดเป็นข้อๆ หอมดี

และเมล็ด รุทรักษะ จะได้ผลบุญไม่รู้จบสิ้น

    นี่แหละค่อยนิยมหน่อย เพราะราคาถูกดี (เราเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าใช้เม็ดพุทราไทย จะได้ไหม เพราะเม็ดกลมๆ สวยดี และก็เป็น ปุตรชีวะ ด้วย เคยถามคู่ซี้ คือ นายห้างกุลดิป เขามองหน้า ไม่พูดอะไรเลย แต่โยนประคำเม็ดรุทร ให้ 1 เส้น แปลว่า..ไม่มีก็บอก เอาไป อย่าให้พระผู้เป็นเจ้าพิโรธเลย…)

ใครเคยได้ของฟรีจากแขกบ้าง

เราคนเดียว ที่แขกยังยอมแพ้

(เห็นงูกับแขก ตีแขกก่อน

เห็นเรากับแขก ตีเราก่อน)

วิม-ลา

0

article

ตันตระ แปลว่า ด้าย ร้อยเรียง สาระ คือ ถ้อยคำสำคัญ ตันตระเป็นนิกายหนึ่งในพุทธมหายานของทิเบต ตันตระสาระ กล่าวถึง การสวดมนตร์แบบ ‘ลงคะแนน’ ส่วนใหญ่ ‘คะแนน’ กันลืมนี้ มีทั้ง 108 หรือ 111 และ 11. กับ 6.

การใช้ ‘คะแนน’ กันลืม ทำได้ 2 วิธี คือ

1.ใช้นิ้วมือ

2.ใช้ เมล็ดรุทระ ซึ่งถือกันว่า ได้ผลบุญมากกว่าสิ่งอื่น

สวดมนตร์ทางศาสนาที่จารไว้ในใบลานและกระดาษสา เรียก พับ จากคัมภีร์ อัคนีปราณะ เรียก ยัป (JAPA.)อธิบายว่า

ยา (JA.) คือ ทำลายวัฏจักร แห่งการเวียนว่าย ตาย – เกิด

ปะ (Pa) คือ ทำลายบาปให้หมดสิ้น

ฉนั้นการจะให้ดวงวิญญาณ หลุดพ้นเป็นอิสระ จากทุกข์ – โศก ตาย – เกิด ก็คือต้องหมั่นสวดมนตร์ JaPa ออกเสียงรวมกันเป็น ยัป

ยับ หรือ ยัป (ออกเสียงยับแต่ขมวดริมฝีปากลงคอ คล้าย ยับ – ปะ ) มีสองชนิด คือ

วาจิกยัป (Vacika JaPa) ท่องผ่านริมฝีปาก

มานสิกยัป (Manasika JaPa) คือการสวดในใจ

จะเห็นว่า ได้เขียนภาษาอังกฤษกำกับ เพราะภาษาอังกฤษ จะเขียนแบบออกเสียง คือ วาจิกะ และ มานะสิกะ เนื่องจากถ้อยคำแปลจากคัมภีร์ พระเวท หรือ ปราณะ มาจากภาษาสันสกฤต ตัวอักษรจะออกเสียง อะ กล้ำเสมอ คิดว่าตอนท้ายๆ จะเขียนวิธีการอ่านของสันสกฤต ให้ ‘พอรู้’ บ้าง

คนเขียนเองก็ ‘พอรู้’ พออ่าน ได้บ้าง

ยังไม่ได้เรียนเป็นชิ้นเป็นอัน

ตอนนี้ได้อาจารย์ทางล้านนาแล้ว คงเรียนจริงจังเสียที

การสวดในใจ แบบ มานสิกะ ยัป. ก็มีสองวิธี คือ

สวดในใจ โดยไม่ออกเสียง ริมฝีปากไม่ขยับ ถ้าสวดในใจ ขยับริมฝีปากเรียก อุปามศุ

และสวดในใจ ผ่านลมหายใจ เข้า – ออก แบบเราสวด พุท – โธ แหละ คือทุกคำ

ต้องนับตามลมหายใจ เข้า – ออก เรียก อัยปะ  ยัป (เติมสระ อะ ให้เสียเอง)

อย่าไปจำ ชื่อเลย จะสวดแบบไหนก็ได้ สวดก็แล้วกัน ที่เขียนถึงเพื่อให้ ‘รับรู้’

เท่านั้นว่า ทางพุทธและทางพระเวทมีการสวดมันตรา อย่างไร

ถ้าเรียนๆไปจะรู้ว่า พุทธกับพระเวท แนบชิดกันยิ่ง

เพียง พุทธ มุ่งสู่ นิพพาน

หากพระเวท มุ่งสู่ พระผู้เป็นเจ้า

วิม-ลา

0

article

แมลงภู่ที่เป็นชิ้นๆนั้น นิยมแกะจากไม้ที่แล้วแต่ตำราของผู้แกะแต่ละท่านว่า จะใช้ไม้อะไร หากดีที่สุดคือไม้ดุมเกวียน ดังที่เคยเล่าไปแล้ว และหรือ ไม้ประดู่ แมลงภู่ตามแบบอย่างที่แท้ จะต้องประกอบด้วย 5 ปะ เคล็ดลับนี้ ดูได้จากเฟส อาจารย์วิลักษณ์

ทางเทวาลัยหมดแล้ว และที่อาจารย์วิลักษณ์ คงเหลือไม่กี่ชิ้น

รุ่นเดียวกับที่เทวาลัยก็มี เก่ามากๆ ก็มี ทว่าแอบเก็บไว้ (รู้แน่เพราะเอาออกมาอวด)

นอกจากไม้ตามตำรา (ไม่ใช่ไม้อะไรก็ใช้ได้) ที่ดีก็มี งาช้าง (กระดูกช้างและกระดูกสัตว์อื่นไม่นิยม)

แต่ต้องแกะมือ ไม่ใช่กลึง เพราะการแกะมือจะใช้สมาธิ เท่ากับ ‘ประจุ’ พลัง ที่เป็นโลหะ เงินทอง เป็นการหลอมจะดีก็เพียง ‘พลังโลหะ’ ซึ่งต้องมาทำพิธีกันอีก

แต่..เอาเหอะ ถ้าศรัทธาจริงก็ดีทั้งนั้น (ต้องใช้ด้วยศรัทธา)

เพราะเครื่องราง ประกอบด้วยความเชื่อ 4 ประการคือ

  1. เป็นสื่อของพลังธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดารา สายฟ้า ดิน น้ำ ลม และไฟ ฯลฯ
  2. สัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า เช่น เทพ เทวี ต่างๆ
  3. สัญลักษณ์ของ พระศาสนา นักบุญ พระอริย เช่น พระพุทธเจ้า พระอริย
  4. ตัวแทนของบุคลาธิษฐาน เช่น ธรรมจักร กาลจักร หรือ แมลงภู่ ตะกรุด ฯลฯ

แม้แต่ดินจากสถานที่ศักดิ์ น้ำจากแม่น้ำคงคา นอกจากนี้ยังมี ผ้าที่ลงอักขระ ยันตร์ คือ ตารางลงอักษรย่อของมนตร์ที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ ซึ่งจะเป็นอักษรโบราณของแต่ละชาติ

                  ยันตร์เหล่านี้จะพบใน คัมภีร์ใบลาน

ถ้าทางภาคเหนือจะพบใน ‘ปับสา’ คือ พับสา กระดาษสาพับแบบใบลาน

เราได้เห็นพับสาเก่าที่วัดนาเหลืองใน และที่สร้างหอคัมภีร์ก็เอาไว้เก็บพับสานั่นเอง

ที่วัดเราเห็นยันตร์โบราณต่างๆ หากที่สะดุดตาก่อนเช่นกัน คือยันตร์แมลงภู่ ซึ่งมีตัวผู้ ตัวเมีย  เป็นยันตร์เก่ามาก แสดงว่า แมลงภู่นับถือกันมานาน (ที่พญาวัด น่าน สลักไว้ที่เสาหน้าโบสถ์)

                  พอกลับจากน่าน ไปหาอาจารย์วิลักษณ์

ท่านก็คลี่ยันตร์แมลงภู่ให้ดู ก่อนเราจะเล่าเรื่องยันตร์ที่วัดนาเหลืองใน

และอาจารย์ก็ลอกยันตร์โบราณ มาลงแผ่นผ้า แดง ขาว ดำ เป็นยันตร์ตัวผู้ – ตัวเมีย พับหันหน้าเข้าหากัน แจกในวัน แมลงภู่โลก 199 ผืน  ใครไม่ไปงาน .. อด ตอนนี้หายากแล้ว ที่นายยอดเขาเป็นลูกศิษย์รัก ได้มาเกิน 1. ผืนแน่ กับที่อาจารย์เม้มเก็บไว้ ไม่กี่ผืน ลองถามกันเอาเอง

ยันตร์แมลงภู่มีวิธีพับตัวผู้ ตัวเมีย หันเข้าประกบกัน

และชายผ้ามีวิธีสอด ให้เป็นสี่เหลี่ยมเล็กกว่าฝ่ามือ

ในเฟสอาจารย์ยังมีมั้ง แต่ผ้ายันตร์ ‘หายาก’

วิธีการสอด พับ แนบกัน เป็นเสน่หา ตามหากันเอาเองนะ

(อย่าขอเรา เรามีชิ้นเดียว)

วิม-ลา.

0

article

เล่าเรื่องนี้ก่อน เพราะขณะนี้มีแต่คนต้องการแมลงภู่ ถ้าต้องการรายการละเอียดจากผู้รู้ ผู้ชำนาญ ต้องอ่านเฟสของอาจารย์วิลักษณ์ หรือ หนังสือ คม เข้ม ข่าม ขลัง ที่เราเองก็เรียนจากอาจารย์เหมือนกัน

แต่ไม่เคยสงสัยบ้างหรือ

แมลงภู่ กับ แมลง สคารับ แห่ง สุริยเทพ ของอิยิปต์

มีส่วนละม้ายคล้ายกัน กับที่มาก็คล้ายแมลงปีกแข็งของไทย

หากแต่แมลงภู่เป็นแมลงปีกอ่อน ไม่ใช่ปีกแข็ง และ ‘พญา’ จะมีละอองเหลืองเกาะทั้งตัว สวยมาก แมลงภู่ชนิดนี้มีพิษมากกว่าชนิดที่ไม่มีละอองเกาะ ต่อยใครจะบวมมาก ถ้าแพ้จะเป็นไข้

 ทางตำนานพระลอ กล่าวถึงการเสกพลูจีบเป็นแมลงภู่ให้พระลอเสวย เป็นการทำไสยฯ ให้รัก

บางตำนาน ‘ก็ว่ากันว่า’ ฝีที่ขึ้นกลางพระพักตร สมเด็จพระนเรศวรฯ

ไม่ใช่ ฝีลำมะลอก อย่างที่เล่ามา (ฝีหัวหนองใหญ่ แบบฝีหัวช้าง)

แต่ท่านโดนแมลงภู่เสกต่อย จนอักเสบสิ้นพระชนม์ด้วยพิษไข้

เราเองเมื่อได้แมลงภู่ไม้แกะ ชิ้นแรกจากอาจารย์ ก็โดนแมลงภู่ตัวพญา บินมาชนแขนแล้วตกตาย (แสดงว่าพิษเราเราร้ายกว่า) จนเก็บใส่กรอบ มีแมลงภู่จริง จนบัดนี้ และอาจารย์ก็ใช่ว่า เขาจะไม่ ‘ลองของ’ ท่านเคยเรียงแมลงภู่ ไว้ในหีบกระจก

พญาแมลงภู่เหมือนกัน บินมาเกาะ ไต่ได้พักเดียวตายเฉยเลย

เรื่องนี้ มีพยานหลายคน เลยกระลิ้มกระเหลี่ยอยากได้แมลงภู่ในหีบกระจก

มีอยู่ไม่กี่ชิ้น ลองๆ เอาขี้ผึ้งวัดพญาวัดที่แจกไป (พูดแล้ว คนเชื่อ)

สีปากแล้วติดต่อไป  อาจจะสำมะเหร็จนะ

สำหรับ แมลงสคารับ ของอิยีปต์ เป็นแมลงปีกแข็งเกิดในดิน และตัวมันเองสามารถปั้นดินจากมูลที่มันอาศัยเป็นรูปกลมได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ทางไทยมี แมงจี่ จากกองขี้ควาย)

สคารับพอโต จะบินขึ้นฟ้า

ทางอิยิปต์ถือว่า โตจากดิน บินสู่ฟ้า เป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต

ฉนั้นแมลงสคารับจึงหมายถึง โชคดี ชีวิตใหม่ (Re birth) การพันมัมมี่จึงมีแมลงสคารับทำจากหินเทอร์คอยซ์ ห่อไว้ในผ้าพันศพด้วย (พลังของสี ก็คงต้องแยกเล่า)

ฉนั้นการใช้ สคารับของอิยิปต์ หรือแมลงภู่ของไทย

จึงหมายถึง โชคดี จะพ้นจากเคราะห์หามยามร้าย และจะมีเสน่ห์

โดยเฉพาะจะมีพลังเหนือธรรมชาติ

แมลงภู่ คงหาได้ที่ อาจารย์วิลักษณ์ กับทางเทวาลัย (น่าจะไม่เหลือแล้ว)

แต่แมลงสคารับ ไปคลี่ผ้าพันศพมัมมี่ หาเอาเอง

เรามี 2 ชิ้น ไม่รู้ว่า จากผ้าพันพระศพพระองค์ใด (เพราะไม่ได้แอบคลี่มัมมี่เอง เชื่อไกด์น่ะ)

(ถ้าซื้อจากร้านขายของที่ระลึก ไม่ขลัง)

วิม-ลา.

0

article

เคยเขียนเรื่อง Wicci  มาแล้ว แต่เขียนได้ 5 – 6 ตอน ก็ต้องวางมือไปทำเรื่องอื่นหลายเรื่อง จนไม่ได้เขียนต่อ และเข้าใจว่า คนอ่านก็คงลืมไปแล้ว แต่รับรองว่าจะเขียนจนจบ แต่ตอนนี้ขอเล่าเรื่อง

‘ศรียันตรา’

ตำรา เครื่องรางแห่งจักรวาล

เพราะทางเทวาลัย นำเครื่องรางมาให้บูชาแล้ว ก็ควรรวบรวมเล่าว่า

ทำไมผู้คนจึงนิยม ศรัทธา เครื่องรางนั้นๆ

ที่มาแห่งความเชื่อเป็นอย่างไร

เพราะความเชื่อเหล่านั้นมิใช่เพิ่งเชื่อถือกัน หากทุกเรื่องราวมีมานับพันปี เช่น สมัยเมโสโปเตเมีย ได้ขุดค้นพบ ตุ๊กตาสตรี อ้วนพุงใหญ่ หน้าอกใหญ่

ซึ่งลงความเห็นกันแล้วว่า นี่คือ เทพีแห่งโลก

ท่านเป็นผู้ให้ทุกอย่าง จากครรภ์อันใหญ่

และให้ น้ำนม แด่มวลมนุษย์ (และสัตว์ประเภทใช้นมมารดา)

ซึ่งทางไทย นับถือพระแม่ธรณี มาช้านานเช่นกัน

เราถือกันว่า สรรพสิ่ง มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ

เราจึงมี พระธรณี พระแม่คงคา พระวายุ พระอัคนี พระสุริยาทิตย์

และเครื่องรางของจักรวาล ทางอียิปต์ ใช้ พีระมิด ขณะทางฮินดู ใช้ลักษณะของเจดีย์ ทางพุทธ ใช้ทรงบาตรคว่ำ หรือระฆังคว่ำ มาเป็นเครื่องหมายของพระพุทธองค์

ทางพุทธจึงนำ ‘รูปแบบเก่า’ มาใช้ทางความเชื่อและศรัทธาในจิตใจมนุษย์ ที่ไม่ว่าโลกจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ความเชื่อมั่นเช่นนี้ ไม่เคยจางหายไป

ปัจจุบันกลับมีการค้นคว้า ในพลังเหนือธรรมชาติยิ่งขึ้น (ฟิสิกส์ ควอนตัม)

วัตถุที่นำมาใช้ ทั้งแก้ว หิน กระดูกสัตว์ และโลหะต่างๆ

รวมทั้งโลหะผสม ที่ยากต่อการหลอมรวมกัน

การ ‘ใช้’ สิ่งเหล่านี้ ต้องอาศัย ‘พลัง’

จึงเป็นที่มาของ มนตรา ที่ออกเสียงแบบสันสกฤต (เก่า) ว่า มันตรา และยันตร์

ความเป็นมาโดยละเอียด ต้องยกแยกไปทาง Wicci  ซึ่งคงเล่ารายละเอียดของ ‘แม่มด’ แต่ทางไทยมักใช้คำ..คนทรง องค์เทียม หมอธรรม ฯลฯ ซึ่งความจริง ไม่เหมือนกัน

ใน ‘ศรียันตรา’ จะเล่าเฉพาะเครื่องรางที่นำมาใช้ รวมทั้งหมด ว่ามีความหมายอย่างไร

หากใครสนใจอยากรู้ก่อนควรอ่าน ‘คง เข้ม ข่าม ขลัง’

ของอาจารย์วิลักษณ์ ศรีป่าซาง

วิม-ลา

0