article

พุทธพยากรณ์

พระราหู ถือกันว่าเป็นเทพอสูร ตำราบอกว่า มีฤทธิ์มาก นิสัยนักเลงไม่กลัวใคร ยกเว้นพระพุทธเจ้า อิทธิพลของท่านพิสดาร คือ ท่อนบนที่เป็นยักษ์ ท่านก็จับพระอาทิตย์ พระจันทร์ มาอมเป็นลูกอมแก้เจ็บคอบ่อยๆ แถมสหายสนิทคือ พระเสาร์ ก็รู้ๆกันอยู่ พระเสาร์ท่านเป็นอย่างไร

ถ้าใครยังไม่รู้ ต้องเล่าที่หลัง หาไม่จะไม่จบสักเรื่อง

ส่วนท่อนล่างของท่านที่เป็น งู นั้น คือพระเกตุ ทรงฤทธิ์เดชพอกัน ในดวงชะตาถ้าใครมีพระเกตุกุมลัคน์ คนนั้นจะปลอดภัยจากภยันตราย ไม่ตายโหง ศัตรูมักวินาศ..ไปเอง

ในตำรา ถ้าเป็นทางเทพ ถือว่าพระอิศวรเจ้า
ทรงใช้ ผีโขมด 12 หัวมาป่นแล้วเสกด้วยน้ำอมฤตเป็นพระราหู
(แต่ไม่ยักบอกว่า จะทรงเสกมาทำไม)
บางตำราว่า พระราหูท่านแอบไปดื่มน้ำอมฤตกับเทวดา
พระอาทิตย์กับพระจันทร์ไปฟ้องพระนารายณ์ ท่านจึงขว้างจักรตัดครึ่งกาย แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตแล้ว
กำเนิดของพระราหูนี้มีหลายตำนาน คือตำไว้นานๆ ก็เลยปนกันยุ่ง เป็นยุงตีกัน (คนตีกันยิ่งยุ่งกว่า)
หากในพระไตรปิฎก ก็มีพุทธทำนายว่า
พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า (เพราะพระราหูท่านบำเพ็ญหนักหลังจากเหลือครึ่งพระองค์)
ทรงพระนามว่า พระนารทพุทธเจ้า (ไม่ใช่พระฤาษีนารท)
เป็นองค์ที่ห้า นับจากพระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้า

ฉนั้นแทนที่จะอธิษฐานขอแค่ไปเกิดในสมัยพระศรีอารย์ หากไม่แน่ใจ จะเลยไปอีกนิดให้ถึงสมัยพระนารท พระพุทธเจ้าก็คงจะพอไหว (รถไฟขบวนสุดท้ายจ้ะ) ตอนนี้จึงห้อยพระราหูกันไปก่อน เผื่อๆ ไว้ก็ดี และพระราหูนี่แหละ ได้ร่วมรจนาบาทพระคาถา “นโมตัสสะ” ที่ชาวพุทธท่องกันติดปาก

ตำหรับการสร้างพระราหูที่โด่งดัง คือ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม การใช้กะลานั้นถือกันว่า มะพร้าวกลมๆ คล้ายหม้อน้ำอมฤต เราไม่เคยเห็นตอนกวนเกษียรสมุทร เห็นแต่ในภาพเขียน เอาเป็นว่า หม้อกลมคล้ายกะลานะ (เข้าใจตรงกันนะ) กะลาพันธุ์ปกติจะมี 3 ตา หรือแค่ 2 ตา ( 3 ตา ถือว่า มี 2 ตา 1 ปาก)

หากที่หายากที่สุดคือ กะลาตาเดียว
ถือเป็นของ ทนสิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์โดยธรรมชาติ (เหมือน คด ต่างๆ หรืองาคุด)
(ถ้าไม่รู้จัก ไปซื้อหนังสือเครื่องรางของอาจารย์ วิลักษณ์ ศรีป่าซาง อ่านซะ)
หากไม่มีตาเลย เรียกกะลาตาบอด หรือกะลามหาอุด
กะลาทั้งสองแบบนี้แหละที่จะนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แกะตราพระราหู
ถ้าเป็นทั้งศรีษะ แกะยันตร์หมด จะแพงมาก
ยิ่งเป็นมหาอุด แกะทั้งศรีษะ “เขาว่า” ราคาเป็นเรือนแสน หายากมากขึ้นไปอีก
ถ้าได้มาจะตากแดดให้น้ำภายในระเหยหมด และเนื้อเป็นน้ำมันซึมอาบทั้งศรีษะ
จากนั้น ขัดเฉยๆ ไม่ต้องลงยันตร์ยังได้ ( ทนสิทธิ์เลย ไม่ต้องเสก )
ของเราคราวที่แล้ว มีชิ้น “ตกน้ำมัน” อยู่ 3-4 ชิ้น ป่านนี้ยังไม่แห้งเลย

คราวหน้าจะเล่าถึงความเป็น “กายสิทธิ์” จำจากตำราตามเคย (ยังดีน่าที่พอจำได้)
เราอาศัย อัตตาหิ อัตตโน อนาถา.ทั้งนั้นแหละ เพราะจำๆ เขามา

เรา/.
उมยันติ่

บทความเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561