article

เทศกาลเทพในอินเดีย

 
ในตอนนี้จะรู้กันละว่า ในช่วงนี้ทำไมถือกันว่า เป็น Horrible เพราะจะเล่าถึง
มหาศิวาราตรี (MAHASHIVA RATRI)
 
สำหรับประวัติของวันนี้เคยเล่ามาแล้ว ถ้าใครบอกว่า..ไม่เค้ย ไม่เคย..ก็รออ่าน กำเนิดเทพ เพราะเล่าถึงมหาเทวะ พระองค์เดียว ก็ไม่ต้องเล่าเรื่องอื่นๆ เล่าย่นย่อก็ไม่ได้ บาป หนา เมื่อเล่าถึงเทศกาล ก็จะบอกแค่ พิธีกรรมให้รู้เท่านั้น
 
งานวันมหาศิวาราตรี เป็นทั้งการถือพรตและพิธีกรรม (ยิ่งใหญ่ของผู้นับถือ ไศวนิกาย,ไศ-วะ บางทีเรียก ฮรยัน เพราะพระศิวะ คือ หร ออกเสียง ฮร ถ้าพระนารายณ์หรือพระวิษณุ คือ หริ ออกเสียง ฮริ)
 
วันนี้ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ ของเดือน ผลคุณ (ผะละคุณ)
คือเดือนสี่ ระหว่าง กุมภา – มีนาคม
 
ในปี 2563 ตรงกับวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์
(ผ่านมาแล้ว เทวาลัย ทำพิธีแล้ว แต่คุณโค กำลังจะมาขวิด ทำอะไรมากไม่ได้ คุณโค คงไม่ใช่ ท่าน นันทิ ของพระผู้เป็นเจ้า เป็น พวกนอกระบบ)
 
วันนี้พราหมณ์ ทุกวรรณะ ต้องประกอบพิธี
(ข้อกำหนดนี้ ทำให้สงสัยว่า จะมีวันใด วรรณะใด ไม่ต้องทำ
และในวรรณะพราหมณ์ ยังแยกอีกเป็นชั้น คงจะไว้ตอนสรุป)
 
พิธีกรรมนี้ต้องอัญเชิญ มหาเทพ และศิวะลึงค์ ออกมาสรงน้ำ น้ำที่ใช้สรงเรียกคงคายัล (คำว่า ยัล ตำราเขียนอย่างนั้น จะเป็น ยัญ หรือเปล่า เพราะคนเขียน เขียนตามที่พูด ภาษาไทยไม่สันทัด)
 
การสรงน้ำ ขั้นแรก ขี้เถ้า (จะให้ขลังต้องเถ้าจากเชิงตะกอน ไปแอบขอซื้อจากสัปเหร่อตามวัดคงกวาดๆ มาได้ แต่..กล้าไหมล่ะ?) เราใช้เถ้าจากเครื่องหอมที่จุดถวายรวมไว้ ต่อไปคือ น้ำผึ้ง น้ำมันเนยแท้ นมเปรี้ยว นมสด น้ำลอยดอกไม้ และน้ำอบไทย จากนั้นจึงใช้ผ้าสะอาดเช็ดพระองค์ให้แห้ง
 
ที่ใช้ ขี้เถ้า เพราะมหาเทพจะประทับ ณ ที่เผาศพ คงจะใช้เป็นกรรมฐาน โดยเฉพาะพราหมณ์ที่อินเดียบอกว่าขี้เถ้ารักษาผิวหนัง และบรรเทา ร้อน – หนาว ได้
 
น้ำผึ้ง มาจากเกสรดอกไม้ มีสรรพคุณรักษาผิว แผลไฟลวก น้ำร้อนลวก แผลสด ใช้น้ำผึ้งทาจะหายเร็ว และจะ เนย นม ล้วนมีประโยชน์ต่อผิว
 
สำหรับ น้ำลอยดอกไม้ ต้องมีใบมะตูมด้วย เพราะเป็นใบให้ศักดิ์สิทธิ์ (ใบมะตูมมีสามแฉก รูปร่างเหมือน ตรีศูล ที่เทวาลัย มีต้นหนึ่ง แต่ดูเท่าไหร่ก็ไม่เหมือนตรีศูล แต่ว่าใช่ ก็ใช่ต้น หากไม่มีใบมะตูม ใช้ใบพลูได้ แต่ต้องเป็น ‘พลูร่วมใจ’ คือพลูใบบาง อ่อน สีนวลๆ ออกเหลือง เรียกพลูจีน และต้องคัดเลือกใบรูปร่างลายหัวใจ เอาไปเขียนยันตร์ทำเสน่ห์ได้)
 
วันพิเศษยิ่งใหญ่วันนี้ (ตามเคย) ถือศีลตลอด ใช้เวลาทั้งคืนทำสมาธิ สวดมนตร์ ร้องเพลงสรรเสริญ (ภชัน แปลว่า สรรเสริญ บูชา) และจะมีพราหมณ์เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของมหาเทพตลอดคืน
 
ที่เคยเห็น เล่าเป็นตอนๆ สลับ สวดมนตร์ ร้องเพลง ตีกลอง ดนตรี (สนุกดี)
เครื่องสังเวย มีแต่ขนมหวาน ไม่มีเครื่องคาวเลย
 
ดอกไม้มากมาย ธูป กำยาน ประทีป ควันคลุ้ง สว่างไสวพร้อมถวาย อารตี
ที่จริงทาง สํ ออกเสียง อาราตฺธิก แปลว่า การแกว่งประทีปต่อหน้ารูปเคารพ ยามค่ำ
 
ถ้า อาราติ แปลว่า ศัตรู (enemy)
ถ้า อารติ แปลว่า การหยุด (Stopping)
 
แต่คนไทยไม่ได้ขมวดลิ้นเป็น อาราตฺริก เอาตัว ก. เข้าไปด้วย เหลือแต่ อาราตี (ก็ยังดีน่า) เครื่องกระทำอารตี มีมากแถวพาหุรัด เท่ากับในอินเดีย แต่ที่ริมแม่น้ำคงคาในพาราณสี ท่อง มหิมา ผสมกับบทสวด
 
ศิวะ มหิมา (SHIVA MAHIMA)
(เราออกเสียงกัน ศิวะ แขกจะออกเสียง ฉิ หรือ ชี – วา )
ศิวะ ตัน ดาวะ สโตตระ (SHIVA TAHDAVA STOTRA)
(สำหรับ บทสวด โศลก อัถ วันทนา ยกไปรวมกันดีกว่า)
 
และเครื่องสังเวย เคยเห็นแต่ของหวาน ผลไม้ ไม่เคยมี ‘ชุดใหญ่’ หัวหมู ยำ ต้น ขนมหม้อแกงอย่างไทย สันนิษฐานว่า ไทยเราคงผสมผเสกับเครื่องบำบวง ‘เจ้าพ่อ’ ต่างๆ
 
เพราะทาง ไสยะ ของไทย จะมีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผีบ้าน ผีป่า กินเครื่องยำ สุรา
ถ้าเป็นพรานจะตั้ง ‘ศาลเพียงตา’ ถวายหัวสัตว์ที่จะล่าได้ โดยเฉพาะหัวหมู ที่จริงเขาว่า พรานบน จะแบ่งสัตว์ถวาย 1 ตัว แต่เกิดรายการเม้มเจ้าป่า คือ ถวายหัว – หาง ขา 4 ขา กับหาง วางคว่ำ ขากาง หางโผล่ เนื้อๆกลางตัว เอากลับบ้านหมด ข้อสำคัญแขกไม่กินหมู ไม่กินยำ เอาน่า แถมๆ กันไป

บ้านเราตั้งใจว่า จะถวายพิซซ่า ราเมน สเต๊ก ครบสิบสองภาษา
น่าจะได้น่า แปลว่า ทุกชาติถวายอาหารอร่อยๆ ให้ท่าน
 
คนที่เคารพบูชานับแสน จะไปชุมนุม ณ โบสถ์มหาศิวะ (เทวาลัย = เทวะ + อาลย ,ที่พัก ที่อยู่)
 
แต่โบสถ์ คือที่ประดิษฐานรูปเคารพ แต่ละพระองค์จะมีโบสถ์ ทางฝรั่งเรียก chapel คือ ห้องสวดเฉพาะ
 
เมืองที่ดันไปชุมนุมกันมาก คือที่ พาราณสี การเกศวร ไภทนาค ราเมศวัม เป็นสถานที่สำคัญของพระศิวะ แต่ที่ ปศุปตินาต ในเนปาล สมัยก่อนมีการบูชายัญ วัว – ควาย แพะ – แกะ อย่างละ 108 ตัว แล้วควักไส้ออกมาพันรอบตัว เราต้องเผ่นหนีไปอินเดียเพราะไม่มีการบูชายัญ และบัดนี้ทางการเนปาลก็ทานแล้ว เหลือแต่การฆ่าเจ้าแพะรับบาปถวายเจ้าแม่กาลี ทางอินเดีย ตอนนี้ก็น้อยลง เพราะแพะ ราคาแพง
 
การถือศีลอดทั้งคืน คราวนี้ แม้แต่น้ำก็ห้ามดื่ม
(เราเป็นพราหมณ์ลูกครึ่ง พวกชูชกจึงทำไม่ได้)
ในวันนั้นต้องสวดทุกพระนาม ก็ราวๆ 240 พระนาม เท่านั้นเอง
 
พระจันทรเศขร ผู้มีปิ่นปักพระจันทร์เสี้ยว
พระคงคาธร ผู้ทรงพระคงคาไว้ (บนมุ่นเกศา)
พระปศุปติ ผู้ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งวิญญาณ (ประทับในป่าช้า)
 
อย่าเขียนครบ 240 พระนามเลย แค่เขียนยังแย่ แต่พราหมณ์เขาท่องได้ คนไทยแค่ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ยังจำไม่ค่อยจะครบ
 
มีนิทานตามมา เล่าตอนต่อไปนะ แค่นี้ก็ยาวพอแล้ว
 
วิม-ลา