Your address will show here +12 34 56 78
article

ไม้เท้า 

นอกจากนิสัย ‘ลูกอีช่างซัก’ แล้วเรายังมีนิสัย ‘ลูกอีช่างเล่า’ ลดเลี้ยวไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเริ่มด้วย ยันตระ ก็มาถึง ‘ไม้เท้าของแพทย์’ จนได้ ก็ต้องขยายความไว้ มิเช่นนั้นจะไปต่อไม่ได้ เพราะจะมีคนถาม

..แล้วเรื่องไม้เท้าล่ะ.. ต้องอธิบายก่อนว่า ‘ไม้เท้าไทย กับไม้เท้าเทศ’ มีประวัติไม่เหมือนกัน ไม้เท้าไทยหัวไม้เท้าจะมีต่างๆ เช่น พญานาค ตัวมอม ของทางเหนือ ฉะนั้นจะเล่าเฉพาะไม้เท้า เครื่องหมายทางการแพทย์เท่านั้นก่อน หาไม่คงไปไม่ถึง มหายันตร์ศรีจักรา

ไม้เท้าที่มีรูป งูพันเลื้อยรอบนั้น มักจะสับสนกันระหว่าง

ไม้เท้า อัสเคลปิออส กับ ไม้เท้า คาคูเซอส (Caducrus) ของเธเฮร์เมส Hermes ไม่ใช่กระเป๋าจ้ะ

แต่เป็น เทพของกรีก

       ประวัติของ อัสเคลปิออส ยาวพอสมควร เอาสั้นๆแค่เป็น ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพเจ้า (ตอนนี้คนไทยก็มี ‘ลูกเทพ’ บ้างแล้ว) ท่านเป็นเทพทางการแพทย์ของกรีก เดิมมารดาท่านเป็นมนุษย์ ชื่อ โคโรนิส มีครรภ์ กับเทพ อพอลโล ของ อัสเคลปิออส จึงเป็น ‘ลูกเทพ’ และการถือกำเนิดของท่านก็คือ ก่อน โคโรพิส จะสิ้นใจตาย อะพอลโลให้ผ่าท้องเอาท่านออกมา ท่านจึงเป็นเด็ก ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเป็นคนแรก และอะพอลโลได้ให้ เซนทอร์ มนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้า ชื่อ ซีรอน (Chiron) เลี้ยงดู (อย่าเพิ่งเล่าเรื่อง เซนทอร์ เลยนะ )

เซนทอร์ จึงถ่ายความรู้ทางการแพทย์และการผ่าตัดให้

ท้ายสุด..ตามเคย..รักษาเก่งจนถูกอิจฉา มหาเทพ เศวส์ จึงลงโทษด้วยการประหาร

และอีก..ตามเคย..ฆ่าแล้วคิดได้

จึงนำแพทย์คนเก่ง ไปไว้บนกลุ่มดาวคนแบกงู

ฉะนั้นแพทย์ต่อๆมาจึงใช้สัญลักษณ์ ไม้เท้ามีงูพัน 1. ตัว

แต่ไม้เท้าของ คาดเซอล์ (Caduexus) คาคูเซอส (Caducrus) ของเทพเฮร์เมส เป็นไม้เท้า ยอดเป็นปีกนกกาง 2 ปีก และมีงูนั้นเลื้อยรอบไม้เท้า 2. ตัว ชาวกรีกถือว่า เป็นไม้เท้าของผู้สื่อสาร ทูต ผู้แจ้งข่าว (รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศน่าจะมีนะ)

          เพราะกรีกถือว่า ใครมีตรานี้

‘ขอประกาศให้รู้ว่า เป็นอภิสิทธิ์ชน

ห้ามใครล่วงเกิน (ปลดจากตำแหน่ง)

ไม่ได้โดยเด็ดขาด จะผิดทุกมาตรา ที่นึกออก’

ถ้ายังไง ทำเผื่ออันหนึ่งนะ

ขอแค่ทองประกอบ ปีกนกด้วยเพชร

ตางู จะทับทิม หรือ มรกต ก็ได้ (มรชวดไม่เอา)

งูสองตัว ฝังตัวละอย่างก็ดี คือ ทับทิม กะ มรกต อย่าลืมที่ทะแนะไว้นะจ๊ะ ออกคำสั่งด้วย

วิม-ลา.

0

article

 

ก่อนจะ..ไปฟัง..เครื่องรางของมหาจักรวาล อย่าคิดว่า ‘มันจะเกินไป’ ที่เล่ามาแล้วต้องยอมรับกันละว่า ‘เครื่องราง’ มีมาแต่ครั้งโบราณ หรือมีปัจจุบัน เวลาจะปล่อยเรือรบลงน้ำ (อาจจะเรือดำน้ำด้วยมั้ง)

คือการเอาลงจากคานเรือ ‘พิธี’ ที่ต้องมีคือ ใช้ขวดเหล้า (คงไม่ใช่ เหล้าขาว หรือกระแช่หรอก) ขว้างหัก คือให้แตก เป็นการ ‘บอกกล่าว’ แม่ย่านางเรือ ก็สมัยก่อนอีกน่ะแหละ เขาขว้างจริงๆ และเมื่อเป็น ‘แม่ย่านาง’ ก็ต้องใช้สตรีสูงศักดิ์

และมีท่านหนึ่ง มือไม่พาย (ไม่ค่อยไม่เล่นขว้างจาน ใส่หัวฝาละมี)

เลยขว้างพลาด ไปถูกหัวคน (ไม่ใช่หัวเรือ หรือเธอจะขว้างแม่นก็ไม่รู้)

ฉะนั้นเขาจึงผูกขวดเหล็กไว้กับหัวเรือ

แค่ปล่อยออกไป ก็กระทบแตก (จะหัวเรือรบ หรือหัวคนก็แตก)

ถ้ายังไม่ทันสมัย เรือบินก็ได้ ทางไทยเรายัง ‘เจิม’ กันอยู่เลย หรือที่ลืมๆกันแล้ว

เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ต้อง ‘เจิมหน้า’

นอกนั้นไปคิดกันต่อว่า เรายังทำ พิธีกรรม อะไรกันอีก

เครื่องรางจึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจมาตลอดกาล มีมาก่อน ‘พระเครื่อง’ ด้วยซ้ำ ถ้าไปอ่าน ขุนช้าง-ขุนแผน จะพบว่ามีการ ‘ฝังหินศักดิ์สิทธิ์’ ไว้ในตัว ยิ่งเหล็กไหล (ตอนนี้มีแต่ เหล็กเหลวไหล คนเขียนละเอียด คือ คุณพนมเทียน)

‘เขาว่า’ ถ้าฝังเหล็กไหลไว้ในผิวหนังตามแขน

พอจะถูกดาบฟัน เหล็กไหลจะวิ่งมารับ ประกายไฟแลบเลย

(ถ้าเป็นลูกปืน ไม่รู้จะวิ่งมารับไหวไหม)

เอาเป็นว่า เครื่องราง มีทั้งไทยและเทศมาจากครั้งโบราณกาล จะหยิบเฉพาะชิ้นสำคัญมาเล่าเฉพาะคุณที่ชอบ ‘ ดูหมอ ’ และให้ ‘ หมอดู ’ คงไม่รู้ว่า สัญลักษณ์ของราศีแต่ละราศี แปลกดี เช่น

ราศีมังกร (ที่ตอนนี้วุ่นวายกับดาวพฤหัส+เสาร์)

รู้ไหมว่า สัญลักษณ์โบราณ

เคยเล่าแล้ว อักขระของไทยเป็นยันตร์

อย่าคิดว่าฝรั่งไม่มี ถ้าเขียน X รู้ไหม ไม่ใช่ ผิด

แต่อักษรรูน (RUNES) เป็นอักขระเก่าแก่ ทว่าใช้ติดต่อกับเทพได้

X อ่านว่า จีโบ (Gibo) แปลว่า มิตรภาพ

โซวิล – ขอให้มีความสำเร็จจ้ะ

วิม-ลา

 

0

article

 

                            คือยันตร์รูปสามเหลี่ยม ซ่อนกลับหัวกลับหาง          ถ้าดูแค่ภาพนี้นึกออกไหม ภาพอะไร ก็ภาพพีระมิดของอียิปต์ไง ถ้าทางฮินดู จะหมายถึงพระตรีมูรติ คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
                                             
                          ทั้งสามพระองค์รวมเป็น ‘พระตรีมูรติ’ จะหมุนเวียนกันปกครองจักรวาล หมุนตามเข็มนาฬิกา จากยุคพรหมาถึงยุคพระศิวะขึ้นปกครอง และบัดนี้ พระนารายณ์ขึ้นตำแหน่งสูงสุดแทน แปลว่าเป็นยุคแห่งการกวาดล้างทำลาย สีผิวของพระนารายณ์จะแปรจากเหลืองทองเป็นคำ

คิดเล่นๆก็ได้ ยุคนี้ทำไมเป็น กาลกาลียุค (กาละ -เวลา)

และทำไมพบ มวลสารมืด พลังงานมืดมากขึ้น

เมื่อหมุน  ซ้อนกัน จะเป็นดาวหกแฉก ในวงกลมของวัฏจักร ถ้าเป็นทางยุโรปจะเรียกดาวแห่งโซโลมอน หรือ ดาวแห่งเดวิด

และแม้แต่ผลึกแท่งแก้ว ปลายแหลม รูปทรงเขาพระสุเมร ก็คือ เครื่องราง ที่จะไม่กล่าวถึง เพราะจะเล่าถึงยันตร์ศรีจักระ ที่สามเหลี่ยมซ้อนกันเป็น 12 แฉก 16 แฉก บางยันตร์เก่าแก่มากๆ

สามเหลี่ยมจะซ้อนกัน ละเอียดยิบ

กิ่งกลางมี พินทุ

นึกออกไหม ก็ภาพ ‘ดอกบัวพันกลีบ’

จุดสหัสราระ กลางกระหม่อม

ทางเดินของ กุณฑาลินี ไฟศักดิ์สิทธิ์กลางกระดูกสันหลังไง

ยันตร์แบบนี้จึงเรียก ‘ยันตร์ศรีจักรามหาจักรวาล’

ทางพุทธมหายานของทิเบต แม้แต่ ภูฎาน มียันตร์แห่ง พุทธเกษตร คือ มันดารา เราเคยนำมาจากภูฎาน (หมดแล้ว) คนได้ไปขอให้บูชาให้ดี เพราะนอกจากเป็นดินแดน พุทธเกษตร ยังแทนค่าของ ‘การตกผลึก’ แห่งพลังงาน เพิ่งคิดออกกันละซิ.. เสียดาย ไม่ได้แบ่ง มันดารา ไว้.

คิดว่า จะจำลอง ศรีจักรามหายันตร์

ในพิธี ‘ศิวาราตรี’ ปี 64

อยากได้ก็รอก่อน เพราะ ไม่กล้าทำเล่นๆ

เคยคิดไหมว่า เครื่องหมายทางการแพทย์ รูปงู 2 ตัว พันกับไม้เท้า ก็คือ เครื่องราง

คุณแพทย์หมอ ทั้งหลายที่ปฏิเสธเครื่องราง ยาไทย ว่างมงาย

ขอเรียนด้วยความเคารพสุดยอดคอนโด (สูงกว่ายอดไม้)

ว่า ‘ท่านใช้เครื่องราง’ อยู่นะ

แล้วจะเล่า

วิม-ลา.

0

article

 

คำนี้ในพระเวทหมายถึง ศาสตร์แห่งการเขียนลวดลายเพื่อสร้างกระแสพลังอำนาจ คือยันตร์รูปแบบต่างๆ เลข ยันตร์ คาถา อาคม จะเห็นว่า เขียนไว้ห่างกัน มิได้รวมกัน เพราะคำว่า ‘เลข’ ก็หมายถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือตัวย่อที่เรียก หัวใจ (นะ มะ มะ ทะ)

เคยเล่าแล้วว่า เลข 0 เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์

0 หมายถึงวัฏจักรของ เกิด – ตาย

0 เติมท้ายเลขใด จะมากขึ้นไม่รู้จับ

0 เครื่องหมายของ จักรวาล ที่เป็น วงกลม โลก ดาวทุกดวงกลม (ความจริง ไม่ค่อยกลมก็มี) ระบบการโคจรเป็นวงกลม (ที่มีบ้างเป็นวงรี จะเล่าภายหลัง)

0 เป็นเครื่องราง แห่งความไม่รู้จักจบสิ้น

ถ้า เขียน พินทุ ลงใน 0 เป็น   กลายเป็นเครื่องหมาย นโมพุทธยะ

และการสวดอะไรต้อง 3 ครั้ง เนื่องจากทางจิตวิทยา ก็ยอมรับแล้วว่าการย้ำคิดย้ำทำ เริ่มด้วย 3 ครั้ง

ฉนั้นเรื่อง เลข. ต้องยกยอดไปเล่า รายละเอียดอีกส่วนหนึ่งของทุกชาติ ความหมายของเลข 3.4.9 ดูจะเป็นที่รู้กันมากว่า ‘ขลัง’ อย่างไร

ส่วน ‘ยันตร์’ ความเชื่อนี้มีทั้งทาง ฮินดู จีน (เรียกฮู้) ไทย และแม้แต่ทางอียิปต์ ก็มี ทางไทยถือว่า ยันตร์แทนสายรก หรือ สายสะดือ พระพุทธเจ้า

อย่าเพิ่งหัวเราะน่า ไม่เชื่อโยมจะ ‘ใสเจีย’ (เด็กโบราณพูดกัน รู้ไหมแปลว่าอะไร) การสร้างพระสมัยก่อน จะสร้างแบบ ‘คนจริงๆ’ คือภายในองค์พระ จะมี ‘เครื่องในครบ’

พระพุทธรูป จึงมักถูกทำลายตรง อุระเบื้องซ้าย

เพื่อเอาพระพุทธรูป องค์จิ๋วภายใน เนื่องจากจะทำด้วยทองคำ

(เราจึงจะสร้าง พระพุทธรูปองค์จิ๋ว ทำด้วยทองคำ เรียก ‘หัวใจพระพุทธ’ จะเล็กจิ๋วอย่างไร ถ้าใช้กล้องส่อง ลวดลายจะประณีต งดงาม เท่าพระองค์ใหญ่ )

คำว่า ‘คาถา’ คือคำศักดิ์สิทธิ์ อย่าง โอม หรือ นโม มาจาก นะมะ คือคำสวดอย่างตั้งใจแน่วแน่ ถ้า นะมะ อ่านกลับจะเป็น มะนะ คือ ใจ

อักษร ทุกตัวจึงเป็นคำศักดิ์สิทธิ์

คำว่า ‘อาคม’ คือ คะมะ กับ อะคะมะ คะมะ คือมา เติม อะ เป็น อคม แผลง อะ เป็น อา แปลว่า ไป – มา ทุกอย่างที่เสกเป่า ที่ดีจะมา ที่เป็น อวมงคล จะไป

ฉนั้น ปลุก เสก เลข ยันตร์ จึงมีความหมาย

รู้จักเครื่องราง ของโลกไหม

‘มหายันตร์ศรีจักรา’

เครื่องรางแห่งจักรวาล

วิม-ลา

0

article

 

(ศ. ออกเสียงคล้าย ฉ แต่สั้น)

แค่ความหมายของคำว่า โอม. ก็หนักหนา ‘สาหด’ คือ มากกว่า สาหัส เพราะสาหดคือถอดใจเลิกเรียนพระเวทไปก็ได้ แต่ถ้าท่อง โอม..โอม ไปแค่ ล้านครั้ง ก็จะมีตั๋วขึ้นสวรรค์อยู่ในมือแล้ว

โอม. นะจ๊ะ อย่า อม. ของใครเขาไป จะได้โรง (พัก)

ในคัมภีร์ เตรติยะ อุปนิษัท กล่าวว่า โอม. ที่ท่องกัน จะเป็นที่รักของผู้คน  การกระทำใดด้วย กายวาจาใจ จะสำเร็จทุกอย่าง

โอม.ไม่มีการเกิดและการสิ้นสุด

โอม. ก่อกำเนิดการสร้าง เหนือกาลเวลา (ก่อน Big Bang ไม่มีเวลา ) เป็นการ

แพร่กระจาย อยู่เหนือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต (ลองอ่าน ฟิสิกส์ควอนตั้มดู จะถามตัวเองว่า..มันก็เป็นการกำเนิดจักรวาลจริงๆ)

การทำสมาธิที่จะได้ผล ต้องใช้ ชโยติ (Syoti) หรือต่อเสียง นาท (Nada)

การตระเตรียม การทำสมาธิ กรือ กีรตัน (สวดมนตร์)

ใช้สถานที่ธรรมดา เรียบง่าย แต่ต้อง สะอาด มีระเบียบ มีรูปบูชา ถ้าเป็นชาวพุทธ ใช้พระพุทธรูป ถ้าจะสวดถวายเทพ จะเลือกเทวรูป องค์ที่ชอบ และหรือ หลายพระองค์ที่ชอบ

แต่มิใช่วางเทวรูป ทุกปาง ทุกองค์ จนรก

ดอกไม้ (หอม) ธูปหรือกำยานหอม น้ำมันหอม

(ถ้าจุดเทียน ต้องดับเทียนก่อนเลิกกระทำพิธี

มิเช่นนั้น จะกลายเป็นจุดไฟเผาบ้าน ถวายเทพ ‘หมดสิ้น’ ไปจริง)

และต้องมี สายประคำ จะได้นับให้สวดมนตร์ได้ครบ 108 จบ

ทางพุทธถ้าสวด ‘ธรรมจักร’ ครบ 108 คงสวดหัวค่ำถึงเช้า

ที่นั่ง ใช้ผ้าสะอาดปู กันเจ็บ และมดตัวเล็กๆกัด (มารมันมาจริงๆ)

ทางโยคี ต้องใช้หนังเสือหนังราชสีห์ปู แสดงความยิ่งใหญ่

(เราไม่เคยเห็น ราชสีห์ เห็นแต่สิงโต)

จากนั้นหลับตา สวดมนตร์ ทำสมาธิ เพ่งที่ปลายจมูก หรือระหว่างการหัวคิ้ว คือ จุดอาชญะ

หรือ จุดหัวใจดอกบัว (หฤ-ปัทมะ Padma) คือ จุดอนาหตะ กลางอก

ถ้าเก่งมากจะเพ่งที่จุด ดอกบัวพันกลีบ กลางกระหม่อม คือ จุด สหัสราระ

การกระทำสมาธิ ที่ดีที่สุดเป็นของ ลัทธิ โยคี คงเล่ารายละเอียดของลิทธินี้ต่อไป เพราะมีมาก่อน พราหมณ์

อยู่ในยุคพระเวทต้นๆ ซึ่งไม่เหมือนกันหรอก แต่เรามักเข้าใจรวมๆกัน

คนไทยจึงนับถือ พุทธ – พราหมณ์ – ผี

ปนกันได้ ‘สนิท’ เลย. (เราจึงเป็น Wicci. ไง)

วิม – ลา.

0