Your address will show here +12 34 56 78
article


ดอกไม้แห่งนิรันดร์กาล 
ประโยคนี้มิได้เขียนให้ไพเราะเช่นในนวนิยาย แต่จะบอกว่า ดอกไม้แห่งนิรันดร์กาล เป็นดอกไม้ที่สดชื่นอยู่เสมอ ไม่มีวันตาย เป็นดอกไม้ที่บานอยู่ในชีวิตเราเอง
.
จริงหรือที่เราจะไม่ แก่ เจ็บ ตาย
เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราจะเรียน รู้ ได้และความทุกข์จะค่อยคลายที่ละน้อย
ทุกข์จะผ่านมา แล้วผ่านไป
ทุกข์ ..มันจะเป็นเช่นนั้นเอง..ตถตา
.
ฉะนั้นจากทุกข์นี้เอง ทำให้บังเกิดพระพุทธเจ้า ผู้ทรง ตื่น รู้ เบิกบาน เคยตั้งคำถามกับชาวพุทธเสมอ
พระพุทธเจ้า ทรงบังเกิดเมื่อใด
และ ทรงตรัสรู้อะไร
ธรรมใดที่ทรงแสดง โดยไม่ต้องอาราธนา
บางส่วนจะตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และบางส่วนก็จะยิ้ม คือ..ไม่รู้.. จึงเป็นปัญหาของชาวพุทธที่แม้แต่รายละเอียดบางประการ เราก็ ‘สักแต่ว่ารู้’ เช่นกัน
ก่อนที่ ‘พระพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดนั้น’
ท่านทรงเป็น ..เจ้าชายสิทธัตถะ และทรงเล่าเรียนกับโยคีจนจบ
แต่โยคศาสตร์และเวทศาสตร์ ตอบคำว่า ‘ทุกข์’ ไม่กระจ่าง
กระนั้น บางครั้งยามเอ่ยถึงพระองค์ ยังใช้คำ มหามุนี
และในวันเพ็ญ เดือนหก พระชนมายุ 35 พรรษา
จึงทรง ‘ตรัสรู้’ เป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(สมฺมาสมฺพุทโธ = ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ในอริยสัจ 4 โดยไม่ทรงเรียนรู้จากผู้ใด )
.
ฉะนั้นที่ทรงตรัสรู้ก่อนธรรมอื่นๆ คือ อริยสัจ 4 ประการ จากทุกข์ ที่ทรงพยายามหาคำตอบ เพราะเป็นรากเหง้าในหัวใจทุกคนจนทรงทราบ ‘ตลอดสาย’ ถึงเหตุ การดับทุกข์ และหนทางที่จะพ้นทุกข์
และท้ายสุด ทุกข์ มันจากตัวเองทั้งสิ้น
ฉนั้นที่เป็น ‘ตัวเรา’ มันมาจากอะไร
ปฏิจจสมุปบาท คือสิ่งที่อาศัยกันจึงเกิดขึ้น ทุกข์ก็เกิดจากการอาศัยกัน
และนี่คือ ข้อธรรมแรกแห่งการตรัสรู้
และเป็นธรรมที่ทรงแสดง ปฐมเทศนา แก่พระปัญจวัคคีย์
ณ วันเพ็ญ เดือน 8 หลังทรงตรัสรู้ 2 เดือน
อริยสัจ และปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นธรรมที่ทรงตรัสรู้ และสอนปัญจวัคคีย์ โดยยังมิต้องอาราธนา และจากปฏิจจสมุปบาท ทำให้คนชาวพุทธ เริ่มรู้ถึง รูปและนาม
.
ห่วงโซ่แห่งชีวิต
วิม-ลา

0

article
ปัญจชันยะ
.
เคยได้ยินชื่อนี้ไหม น่าจะเคยนะ เพียง ‘จำไม่ได้’ ชื่อนี้คือ มหาสังข์ ของมหาวิษณุที่ส่วนใหญ่รู้จักพระนาม ‘พระนารายณ์’ ที่ทางฮินดูถือว่าเป็นเทพฝ่ายบุรุษที่มีรูปลักษณ์งดงามที่สุด สีพระวรกายเป็นสีคราม ในหนังอินเดียผู้แสดงจึงทาสีครามหมดทั้งตัว หากทรงพัสตราภรณ์ สีเหลือง มี 4 พระกร คือ
.
ตรี ด้ามสั้นถ้าด้ามยาวของมหาศิวะ ชื่อ เกาโมทกี
จักร ชื่อ สุทรรศน์ หรือ วัชระนาภ
สังข์ ชื่อ ปัญจชันย(ะ)
ดอกบัว คือ ปทุม (บางทีทรง ธนู ชื่อ ศารงสารณคะ)
.
ที่สำคัญมีพระวลัยแก้ว คือกำไลข้อมือ ชื่อ สยมันตก (ตะกะ) อันมีคุณลักษณะ พิเศษ คือ ผู้สวมจะได้ทองวันละ 8 หาบ แถมป้องกันสารพัดภัย (เราเคยอธิษฐานขอ หากไม่เคยได้)
.
ที่จะเล่าตอนนี้เกี่ยวกับ สังข์ ก่อน รายละเอียดทั้งหมด คอยฟังในกำเนิดเทพ (แบบฮินดู)
.
ประวัติหอยสังข์มีความพิเศษ เพราะยักษ์เคยขโมยพระเวทไปซ่อนไว้ ขอบอกว่า หอยสังข์ทางใต้มหาสมุทรอินเดีย จะตัวใหญ่มาก เปลือกหนา สีสวย ขาวอมฟ้าเทอร์คอยซ์ หรืออมชมพู
.
เมื่อพระเวทหาย พระนารายณ์ก็ต้องทรงตามไปหา เมื่อพบหอยสังข์ ‘เม้ม’ พระเวทไว้ จึงใช้พระหัตถ์บีบตรงปาก หอยจึงคายพระเวทคืน
.
ฉะนั้นหอยสังข์ จึงมีรอยนิ้วพระหัตถ์พระวิษณุ ถ้าใครมีลองพลิกดูและสอดนิ้วลงไปสี่นิ้ว จะลงร่องพอดี หอยสังข์จึงเป็นของพิเศษขึ้นมา
.
1. เมื่อเคยบรรจุพระเวท น้ำที่เทออกมา จึง น่าจะ บรรจุพลังความรู้ไว้ด้วย
2. ผ่านนิ้วพระหัตถ์มหาวิษณุ ย่อมประดุจทรงพลั่งน้ำจากพระดัชนี
.
ฉะนั้นจึงมีการนำมาใช้ในการ ‘หลั่งน้ำ’ พิธีสำคัญ และในกองทัพอินเดียโบราณ (มหาภารตะยุทธ) ใช้เป็นสัญญาณในการรบ จังหวะของการเป่าสังข์เป็นสัญญาณ (ไม่ใช่เป่าปุ๊นเฉยๆ)
.
และจำนวนนับ ไม่ใช่ ชิ้น อัน แต่ใช้ ขอน เหมือนปี่ ใช้ เลา
.
หากสังข์ ถ้าเป็นของทะเล น้ำตื้น ผิวจะบาง ขาว ใช้แค่เป็นของประดับ จะมาทำเป็นสังข์ สำหรับเป่าไม่ได้ ในการประโคมชั้นสูง จะเป่าสังข์เป่างา (ช้าง)ที่เวลาประกอบพิธีกรรมทางเทวาลัย จะใช้ สังข์ และงาด้วย (งาช้างก็เรียก ขอน ซึ่งมีการเจาะรู ใส่ลิ้น ของโบราณที่หายากแล้ว เหมือน มโหระทึก แต่ก่อนใช้ตามวัด เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด ถ้าปี 64 จัดงานศิวาราตรีได้ คอยฟัง)
.
กับที่แปลกอีกอย่าง คือ สันใน หรือ สันกลางหรือแก่นกลางของหอยสังข์จากมหาสมุทรแหละมีการตัดออกมากลึงเป็นแท่งยาวราว 3 นิ้ว ใช้ร้อยเชือกแขวนคอ ที่คนเคยทักว่า เราห้อยงาช้างหรือ เราตอบว่า..แกนหอยสังข์..ไม่มีใครเชื่อ เพราะบนคอเราคล้ายสีงาช้างจริงๆ หากเรามี 2 แก่น ทว่าสีเป็นแก่นหอย (ยังงกอยู่ เพราะหายาก เบื่อแล้วจะบอก)
.
เมื่อมีอิทธิ ทั้ง งาช้างและหอยสังข์
และมีงาช้างเหลืออยู่ (ไม่ได้เข้าป่า ล่าช้าง หางาหรอก)
จึงให้ สล่า แกะเป็น หอยสังข์ ได้ตัวเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง
.
1. รูปหอย แปลว่า ได้ความรู้ จากพระเวท
2. งาช้าง ของพระพิฆเณศ ได้พ้นภัย พ้นอุปสรรค์ (โควิด มีงาน แต่งาโคจะสู้งาช้างได้ไหม เราจะลอง แล้วเจ้า)
.
วิม-ลา
0

article

ภูตะวิทยา
หมวด ปิตะโทษะ
.
พลังงานเปลี่ยนรูปทางชีวภาพและการเกิดความร้อน
คำว่า ปิตะ คือการดูแลในทุกแง่มุมของ ความร้อน แสง สี ในร่างกาย
ปิตะ มาจากภาษาสันสกฤตว่า ตบะ ที่สร้างพลังงานและความร้อนในร่างกาย

ในทางการแพทย์ปัจจุบัน แปลว่า น้ำดี ด้วย
ที่ต้องอ้าง อายุรเวท ทางพระเวท ควบกับแพทย์ปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจ หากจะอ้างถึงการแพทย์ทั้งสองยุค (เก่า – ใหม่) ข้อสำคัญการรักษาทางอายุรเวทเก่า จะใช้สมุนไพร มากกว่ายาเคมีทางการแพทย์ปัจจุบันเพราะยาเคมี หากรับประทานมากๆ จะ ‘ร้อนใน’ ซึ่งเป็น โทษะ คือโทษแก่ร่างกาย (ไม่ใช่ โทสะ ที่แปลว่า ความโกรธ แต่ความโกรธ ก็ทำให้ หัวร้อน เป็นโทษหรือโทษะ ได้เช่นกัน)
.
ฉะนั้นจะถามว่า คุณไปแล้วโดนแสง วูบ-วาบ บาดตาใช่ไหม
กับ เสียงดนตรี ที่กระทุ้งดังแก้วหูแทบแตกใช่ไหม (ตอนแรกๆมันคึกคักดี)
คุณชอบดู คอนเสิร์ตใช่ไหม จะลูกทุ่ง ลูกกรุง (ลูกนอก) ชอบหมด
ทั้ง แสง – เสียง ต้องกระหึ่มใช่ไหม (ดังก้องจากหู – เข้าสู่สมอง)
.
และตอนนี้ ‘โรคที่ทั้งโลกวิตก’ คือโรค มือถือ เป็นพิษ คุณรู้บ้างไหม
คุณเป็นคนหนึ่งใน ‘มนุษย์ก้มหน้า’ ใช่ไหม (นั่งที่ไหน ดุแต่จอภาพมือถือ)
คุณชอบเล่นเกม อาศัย มือถือ มี ‘อากู๋’ เป็นอาจารย์ใช่ไหม
‘มือถือ’ เป็นเพื่อน เป็นอาจารย์ เป็นสารพัดจะเป็นใช่ไหม
คุณมีมือถือ แล้วไม่ต้องเสวนากับใครก็ได้ใช่ไหม
ลูกคุณต้องมี โทรศัพท์นี่แหละ ใช่ไหมถึงจะดูเป็น ‘ลูกผู้ดีมีกะตัง’

.
ฉะนั้น ทั้งคุณ ลูกคุณ นั่งฉีกเนตรอยู่หน้าจอทั้งวัน (งานของคุณก็อยู่กับคอมฯ)
พ่อค้า – แม่ค้า คิดเลขในใจไม่เป็น หากไม่มีมือถือ – คำนวณเงินให้
มือถือคือเทวดาพิทักษ์คุณในปัจจุบัน
สื่ออิเล็กโทรนิค จะมีอำนาจเหนือคุณ
อีกหน่อยคุณจะมีคนงาน ทั้งในที่ทำงาน – ทำงานบ้าน ด้วยหุ่นยนต์ (หลายบริษัทใช้หุ่นยนตร์แล้ว)
หุ่นยนตร์ จะ คิด ติดสินใจ เองได้ (และคล้ายมนุษย์)
หุ่นยนตร์จะกลับมาเป็น ‘นาย’ มนุษย์
โลกอิเล็กทรอนิค จะทำให้ ‘เสียจริต’

.

เตรียมตัวต้อนรับ ‘นาย’ คนใหม่
เรา/.

0

article



“กฤษณมูรติแห่งการเข้าใจชีวิต” แปลโดย คุณโสรีช์ โพธิแก้ว
.
วันนี้อยากให้หลายๆ คนลองอ่านจะ ‘เข้าใจชีวิต’ ความขัดข้องใจ ปัญหา และอุปสรรคหลายอย่าง ‘โดยถ่องแท้’
จะยกคำถามในหนังสือมาสักข้อ
.
..เหตุใดความปรารถนาของเราจึงไม่เป็นจริง เหตุใดจึงมีอุปสรรคมากมายที่ขัดขว้างเรา ไม่ให้ได้ทำ ในสิ่งที่ปรารถนาให้สมบูรณ์ ..
คำตอบของท่านกฤษณมูรติ จะยกย่อมาสั้นๆ เพราะใครปรารถนาจะรู้จริง จะต้องอ่านทั้งเล่ม 369หน้า จึงสมบูรณ์ ก็ทำไมจะอ่าน เพราะขณะนี้ผู้อ่านข้อความนี้ ก็คงมีปัญหา และอุปสรรคในใจมิใช่หรือ 
.
ทุกข์อยู่ที่ท่าน เกิดด้วยท่าน มิได้มาจากที่อื่นเลย ท่านกฤษณมูรติ กล่าวว่า .. ถ้าต้องการให้ความปรารถนาของตัวเองสมบูรณ์ ต้องใส่ใจในการกระทำนั้นโดยไม่หวังผลจึงจะพึงได้กัน ไม่หวังให้ความปรารถนานั้น ตอบสนองความต้องการของตน ท่านจะไม่มีความกลัวว่า อุปสรรคจะเกิดหรือไม่เกิด หรือมีสิ่งกีดขวาง  จะทำความปรารถนาให้สมบูรณ์ โดยไม่หวังผล 
.
ภาวะที่ตนเองเป็น จะแตกต่างกับภาวะที่ตนเองอยากเป็น ในภาวะที่ ‘อยากเป็น.’ จะพบเมฆหมอกแห่งความกังวลใจอยู่เสมอ ความ ‘ไม่เต็ม’ จะเกิดขึ้น เพราะ ‘ความอยาก’ ของเราไม่เคยเต็ม ความต้องการ จะมีมากกว่าความมีอยู่ ผู้ใดมีความอิสระ จากความปรารถนาที่จะได้ การเป็นตนเองแท้ๆ จะเกิดขึ้น
.
จงมองดูว่า มันจะเป็นอย่างที่มันเป็น ‘ตถาคตา’ มันจะเป็นภาวะเหนือกาลเวลา มันจะไม่คิดถึง‘การเติมเต็มให้ตัวเอง’ เพราะ..ในที่สุด มันจะเติมเต็มให้ตัวเอง ความว่างมีอยู่ และเป็นอยู่ ในทุกสรรพสิ่ง ถ้าอธิบายละเอียด ลองอ่าน ‘ปรัชญาปารมิตา’
.
..ตัวเรา โลก ความคิด ความเชื่อ มี ‘ความว่าง’ ที่อาศัยสิ่งอื่นมาประกอบเป็นตัวตน และ สรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงเสมอ..
..เช่นกัน ลองหยุดคิด..วันวานเหมือนวันนี้หรือ วันนี้ ไม่มีเพราะพรุ่งนี้จะเปลี่ยน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จริงหรือ ?
.
เรา/.
उมยันติ่ .

0

article

 

เรานั่งคอยว่า จะมีใคร ‘อยาก’ สวดมนตร์ 5 บทที่เราลองถามตอนเขียนเรื่องวันสงกรานต์

มนตราที่พระพุทธองค์ สวดคราเกิดโรคระบาดใหญ่ ณ กรุงไพศาลี

โรคระบาดครานั้น ทำให้ศพกองเกลื่อนกรุง

เหมือนอินเดียขณะนี้ ศพกองเกลื่อนข้างถนน

หากกล่าวกันว่า เมื่อพระพุทธองค์ ทรงให้พระอานนท์ ไปสวดบท ‘รัตนสูตร’ และเมื่อพระพุทธองค์ย่างพระบาทสู่กรุงเวสาลี  ฝนโบกขรพรรษ ก็ตกลงมา

โบกขร ภาษา บาลี แปลว่า ใบบัว

โปษธร ทางไทยใช้ คำนี้ ก็มี ,พรรษ,วัสสี คือฝน

ปุษกร ภาษาสันสกฤต

ฝนโบกขรพรรษ เสมือนฝนตกลงบนใบบัว ใครต้องการให้เปียกก็เปียก ไม่ต้องการเปียกก็จะไม่เปียก ฝนนี้คงทำให้น้ำท่วมเมือง พาซากศพลงแม่น้ำคงคาหมด โรคระบาดหายไป (บ้านเมืองสะอาด เรามาทำความสะอาดบ้านเมืองล้างโรคกันไหม ไม่ใช่แค่ฉีดๆ พ่นๆ ก็พอ)

ระหว่าง (เล่นตัว) รอฟังว่า ใครอยากสวดมนตร์บทนี้บ้าง

จึงลองเล่นมือถือ แล้วก็ชะงัก ยูทูปเล่าถึงเรื่องนี้แล้ว

แปลว่า รู้กันแล้ว

รู้แล้ว สวดหรือยัง?

อย่านึกว่า มนตรา (เราเรียก ธารณี ) งมงาย จำได้ไหมนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเคยพิสูจน์แล้วว่า

น้ำที่ ‘ได้ยิน’ บทสวดมนตร์ (น้ำมนตร์ในโบสถ์)

อณูจะเรียงกันสวย คล้ายรูปโบสถ์

โลกมีน้ำ 70 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเรามีน้ำ 70 เปอร์เซ็นต์ และสมองเราเรียงตัวแบบจักรวาล

เราคือโลก

อยากให้ โรค – โลก สงบ ศานติ ทำไมไม่ช่วยกันสวดมนตร์ มนตร์ (ธารณี) ที่เราบอกไว้มีในหนังสือสวดมนตร์ (เราใช้ฉบับของ วัดบวรนิเวศ)

ขอร้องละ อยู่บ้านใครบ้านมันน่ะดีแล้ว

หาเวลา เช้า – ก่อนนอน หรือตอนว่าง สวดมนตร์บ้าง

ถ้าทุกวัน เวลาทำวัตรเช้า – เย็น ต่อด้วยบทสวดมนตร์ 5 บทได้ไหม (ทุกวัดรู้เรื่องนี้)

(ไม่ยาวหรอก เปิดบทสวดมนตร์สวดเถอะ)

ด้วย‘จิต’ อันมีพลังยิ่งใหญ่ จะปลอดจาก ‘โรค’

(กำลังเล่าเรื่องสมุนไพร เขียนยังไม่จบเลย

โดยทีแรกไม่คิดว่า สมุนไพรจากพระแม่ธรณี จะดีที่สุด)

สวดมนตร์เสียนะ รัตนสูตรบทเดียวก็ได้

เป็นครั้งแรกที่ขอร้องให้เชื่อ – ศรัทธาในพระพุทธองค์

วิม-ลา

 

0

article

เคยเล่าแล้วว่า ในปีพ.ศ. 2063. มีเรื่องเล่าถึงกัปป์พินาศ และมีการสวดมนตร์จาก ‘เจ็ดตำนาน’ ห้าบท ถือกันว่า เป็นการ ‘แก้’

ในปีนี้  2564 จะนับว่า 500 ปีก็คงได้

เพราะความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้นจากปี 63 แล้ว

ฉนั้นจะว่า ‘งมงาย’ ก็คงไม่ได้อีกเพราะเล่ากันมาเมื่อ 500 ปีแล้ว บทสวดมนตร์ทั้ง 5 บท

คือ                                รัตนสูตร

ธชัคคสูตร

ขันธปริตร (ปะ-ริด)

โมรปริตร

อาฏานาฏิยปริตร

ฉนั้นในวันนี้ (13 เมษายน) วัน สํกรานติ ที่ทั้งทางไทย ฮินดู (เทพ) จะตรงกันพอดีทุกปีทางเทวาลัย จึงสวดมนตร์ตามตำนาน เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองทุกคน รวมทั้งรายชื่อที่ถือไว้ในมือด้วย

สำหรับ เทียนจาก วัดพญาวัด ของน่าน หมดแล้ว และจุดให้แล้ว เป็นลำดับจากวันที่ 13 -15 เมษายน เป็นการ ‘แก้’ ตามตำรับโบราณ จะบอกคร่าวๆก่อนว่า  แต่ละบทมีความหมายทางใดบ้าง

รัตนสูตร สวดให้

ภูตประจำถิ่นใด  ประชุมในครานี้ก็ดี

ฤาประชุมในอากาศ  ขอให้ท่านจุ่งยินดี

น้อมจิต ไมตรี  ตั้งใจฟัง พุทธวจนา

อันเป็นของพระตถาคตเจ้า ประดุจรัตนะอันประเสริฐ

ธชัคคสูตร         พระพุทธองค์ประทานพระสูตรนี้ แด่พระอานนท์ โดยเหตุ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากในกาลดึกดำบรรพ์มา

‘สงครามแห่งเทพยดากับอสูร

ได้เกิดประชิด  รณยุทธกัน’

(ตอนนี้ ใครว่าไม่จริง)

หากเทพยดา มนุษย์ หวาดสะดุ้งต่อภยันตราย

พึงแลดูชายธง (จีวร) เรานั้นเขียว

ขันธปริตร บทนี้สำหรับ พญานาค สัตว์มีเท้า และไม่มีเท้า (คนนับถือพญานาคควรสวดได้และสวดทุกวัน)

ความเป็นมิตรแห่งเรา (คือ พระพุทธองค์ และผู้สวดพระปริตร)

สู่เหล่านาค สกุลวิรูปักข์ เอราบถ ฉัพยาบุตร กัณหาโคตรมกะ

(นาคมี 4 ตระกูล รู้ไหม)

เรากำลังถวายอภิวาท พระพุทธองค์

จงอย่าได้มาเบียดเบียน

โมรปริตร เป็นคาถานกยูงทองที่ท่องเช้า – เย็น แล้วไปจากรัง จะไม่มีอันตราย

ใครท่องทุกวันออกจากบ้าน จะได้พ้นโควิด (ยกเว้นไปผับสถานที่อโคจร ไม่ใช่ โค ไม่ไป แต่ โค. ยังจร) เราจะแย่

บทนี้สวดถวายพระอาทิตย์ เราเองสวดทั้ง เช้า –เย็น แม้แต่ ฤษี พราหมณ์ ก็จะสวดตอนอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ที่พนมมือเหนือหัว ดำจนมิด แล้วจึงขึ้นมา สวดและดำ 3 หน ทุกครั้ง

อาฏานาฏิยปริตร  เป็นบทนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า โบราณจะสวดตอนยิงปืนใหญ่วัน ตรุษ.

พอเล่ามาถึงตรงนี้ก็คง โวยวาย แล้วสวดว่ายังไงบ้าง? ก็ยั่วให้อยากรู้นี่แหละ

จะสวดไหม

ถ้าจะสวด จะเขียนพระคาถาและคำแปลให้

สวดแล้ว ไม่รู้ว่าสวดว่ากระไร สวดทำไม

รอคำตอบก่อน ค่อยบอกพระคาถา

วิม-ลา.

0

article
ปีนี้เดิมตั้งใจว่า จะอัญเชิญ ‘พระพุทธรูปองค์สำคัญ’ สององค์ คือ พระนิรันตราย และพระไพรีพินาศ ลงมาจาก หอสัตยาอธิษฐาน เพื่อตั้งพิธีให้ ผู้มาเทวาลัย ได้สรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคล

แล้ว ‘คุณโค’ ก็ขวิดอีกรอบ
การเดินทาง ต้องไม่สะดวกแน่ๆ
และไม่สมควรเดินทางเป็นอย่างยิ่ง

ฉนั้นหากถ้าใครต้องการถวายน้ำสรง ก็ใช้ ‘วิธีเก่าของเรา’ คือฝากรายชื่อมาทางเทวาลัย ทางเทวาลัยจะถวายน้ำสรงแทนให้ พร้อมถวายรายชื่อ

พระพุทธรูปเก่าสององค์นั้น
มีอิทธิตามพระนามท่าน

และทางพญาวัดแห่งน่าน ที่เป็นเจ้าของตำรับ ‘ แมลงภู่ ’ และเสาโบราณทางเข้าโบสถ์เก่าแก่มีภาพสลักแมลงภู่ (หลายคนไปดูมาแล้ว) เวลาเราจะทำพิธีปลุกเสกแมลงภู่ ต้องไปที่วัดพญาวัดทุกครั้ง ท่านอาจารย์วัดนี้ มีเทียนมหามงคล ตามที่ท่านอธิบายมาดังนี้ ฉะนั้นใครต้องการบูชาก็แจ้งไป ทางเทวาลัยได้จ้ะ

เทียนมหามงคล ๓ เล่ม ๑ ชุด
ประกอบด้วย
๑ เทียนพระเจ้าหลีกเคราะห์
๒ เทียนรับโชค
๓ สืบชะตา

เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของคนแต่โบราณว่า เมื่อถึงวันเกิด เมื่อรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจ ธาตุ ๔ มาไม่สมบูรณ์ ถูกทำนายทายทักจากมดหมอว่า พระศุกร์เข้าพระเสาแทรก ชะตาตกตัวเปล่าตาศูนย์ ขาดสองชั้นสามชั้น เทวดาตัวปาปะเคราะห์มาบีบเบียน พ่อเกิดแม่ซื้อไม่รัก ทำให้จิตตกแล้ว มักจะเข้าหา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า พ่อน้อยพ่อหนานอาจารย์ ผู้ทรงตำราวิทยาคม มีปั๊บสาลานเก่า ที่มีตำราโป่งยันต์เทียน บูชา ขอให้ท่านทำเทียนให้ เพื่อเกิดผล เกิดความสวัสดี หรือตามที่ประสงค์ให้เป็นไปตามที่ใจผู้เป็นเจ้าของเทียนนั้นอยากจุด ซึ่งมีตำรา มากกว่า ๑๐๘ ขอให้ท่านทำเทียนให้ แล้วใส่ขันตั้งกำนล ทั้งในการเริ่มต้นใหม่ ปีใหม่ ศกใหม่ วันตรุษวันสารทสงกรานต์ ถือเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ก็มักจะนิยมบูชาเทียนนี้ เพื่อให้สำเร็จดังที่ตนมุ่งหวัง เทียนทั้ง ๓ เล่มนี้เป็นตำรา ของวัดพญาวัด ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพจารย์ โดยมีโป่งไส้เทียนมีชื่อและผลประสงค์ ตามที่กล่าวมาแล้ว จุดในวันเกิด ของตน หรือวันที่ครูบาอาจารย์กำหนด วันดี วันทูน วันที่เหมาะสม จุดต่อหน้าพระ เทวดา ฟ้าดิน ที่เคารพท่านเป็นสักขีพยานบอกพระแม่ธรณี ส่งไปถึงเทวดาชั้นต่างๆได้ตามที่ขอแล

ปีใหม่ ชีวิตใหม่เจริญยิ่งนะ

उมยันติ่/
0

article

ไม้เท้า 

นอกจากนิสัย ‘ลูกอีช่างซัก’ แล้วเรายังมีนิสัย ‘ลูกอีช่างเล่า’ ลดเลี้ยวไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเริ่มด้วย ยันตระ ก็มาถึง ‘ไม้เท้าของแพทย์’ จนได้ ก็ต้องขยายความไว้ มิเช่นนั้นจะไปต่อไม่ได้ เพราะจะมีคนถาม

..แล้วเรื่องไม้เท้าล่ะ.. ต้องอธิบายก่อนว่า ‘ไม้เท้าไทย กับไม้เท้าเทศ’ มีประวัติไม่เหมือนกัน ไม้เท้าไทยหัวไม้เท้าจะมีต่างๆ เช่น พญานาค ตัวมอม ของทางเหนือ ฉะนั้นจะเล่าเฉพาะไม้เท้า เครื่องหมายทางการแพทย์เท่านั้นก่อน หาไม่คงไปไม่ถึง มหายันตร์ศรีจักรา

ไม้เท้าที่มีรูป งูพันเลื้อยรอบนั้น มักจะสับสนกันระหว่าง

ไม้เท้า อัสเคลปิออส กับ ไม้เท้า คาคูเซอส (Caducrus) ของเธเฮร์เมส Hermes ไม่ใช่กระเป๋าจ้ะ

แต่เป็น เทพของกรีก

       ประวัติของ อัสเคลปิออส ยาวพอสมควร เอาสั้นๆแค่เป็น ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพเจ้า (ตอนนี้คนไทยก็มี ‘ลูกเทพ’ บ้างแล้ว) ท่านเป็นเทพทางการแพทย์ของกรีก เดิมมารดาท่านเป็นมนุษย์ ชื่อ โคโรนิส มีครรภ์ กับเทพ อพอลโล ของ อัสเคลปิออส จึงเป็น ‘ลูกเทพ’ และการถือกำเนิดของท่านก็คือ ก่อน โคโรพิส จะสิ้นใจตาย อะพอลโลให้ผ่าท้องเอาท่านออกมา ท่านจึงเป็นเด็ก ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเป็นคนแรก และอะพอลโลได้ให้ เซนทอร์ มนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้า ชื่อ ซีรอน (Chiron) เลี้ยงดู (อย่าเพิ่งเล่าเรื่อง เซนทอร์ เลยนะ )

เซนทอร์ จึงถ่ายความรู้ทางการแพทย์และการผ่าตัดให้

ท้ายสุด..ตามเคย..รักษาเก่งจนถูกอิจฉา มหาเทพ เศวส์ จึงลงโทษด้วยการประหาร

และอีก..ตามเคย..ฆ่าแล้วคิดได้

จึงนำแพทย์คนเก่ง ไปไว้บนกลุ่มดาวคนแบกงู

ฉะนั้นแพทย์ต่อๆมาจึงใช้สัญลักษณ์ ไม้เท้ามีงูพัน 1. ตัว

แต่ไม้เท้าของ คาดเซอล์ (Caduexus) คาคูเซอส (Caducrus) ของเทพเฮร์เมส เป็นไม้เท้า ยอดเป็นปีกนกกาง 2 ปีก และมีงูนั้นเลื้อยรอบไม้เท้า 2. ตัว ชาวกรีกถือว่า เป็นไม้เท้าของผู้สื่อสาร ทูต ผู้แจ้งข่าว (รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศน่าจะมีนะ)

          เพราะกรีกถือว่า ใครมีตรานี้

‘ขอประกาศให้รู้ว่า เป็นอภิสิทธิ์ชน

ห้ามใครล่วงเกิน (ปลดจากตำแหน่ง)

ไม่ได้โดยเด็ดขาด จะผิดทุกมาตรา ที่นึกออก’

ถ้ายังไง ทำเผื่ออันหนึ่งนะ

ขอแค่ทองประกอบ ปีกนกด้วยเพชร

ตางู จะทับทิม หรือ มรกต ก็ได้ (มรชวดไม่เอา)

งูสองตัว ฝังตัวละอย่างก็ดี คือ ทับทิม กะ มรกต อย่าลืมที่ทะแนะไว้นะจ๊ะ ออกคำสั่งด้วย

วิม-ลา.

0

article

 

ก่อนจะ..ไปฟัง..เครื่องรางของมหาจักรวาล อย่าคิดว่า ‘มันจะเกินไป’ ที่เล่ามาแล้วต้องยอมรับกันละว่า ‘เครื่องราง’ มีมาแต่ครั้งโบราณ หรือมีปัจจุบัน เวลาจะปล่อยเรือรบลงน้ำ (อาจจะเรือดำน้ำด้วยมั้ง)

คือการเอาลงจากคานเรือ ‘พิธี’ ที่ต้องมีคือ ใช้ขวดเหล้า (คงไม่ใช่ เหล้าขาว หรือกระแช่หรอก) ขว้างหัก คือให้แตก เป็นการ ‘บอกกล่าว’ แม่ย่านางเรือ ก็สมัยก่อนอีกน่ะแหละ เขาขว้างจริงๆ และเมื่อเป็น ‘แม่ย่านาง’ ก็ต้องใช้สตรีสูงศักดิ์

และมีท่านหนึ่ง มือไม่พาย (ไม่ค่อยไม่เล่นขว้างจาน ใส่หัวฝาละมี)

เลยขว้างพลาด ไปถูกหัวคน (ไม่ใช่หัวเรือ หรือเธอจะขว้างแม่นก็ไม่รู้)

ฉะนั้นเขาจึงผูกขวดเหล็กไว้กับหัวเรือ

แค่ปล่อยออกไป ก็กระทบแตก (จะหัวเรือรบ หรือหัวคนก็แตก)

ถ้ายังไม่ทันสมัย เรือบินก็ได้ ทางไทยเรายัง ‘เจิม’ กันอยู่เลย หรือที่ลืมๆกันแล้ว

เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ต้อง ‘เจิมหน้า’

นอกนั้นไปคิดกันต่อว่า เรายังทำ พิธีกรรม อะไรกันอีก

เครื่องรางจึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจมาตลอดกาล มีมาก่อน ‘พระเครื่อง’ ด้วยซ้ำ ถ้าไปอ่าน ขุนช้าง-ขุนแผน จะพบว่ามีการ ‘ฝังหินศักดิ์สิทธิ์’ ไว้ในตัว ยิ่งเหล็กไหล (ตอนนี้มีแต่ เหล็กเหลวไหล คนเขียนละเอียด คือ คุณพนมเทียน)

‘เขาว่า’ ถ้าฝังเหล็กไหลไว้ในผิวหนังตามแขน

พอจะถูกดาบฟัน เหล็กไหลจะวิ่งมารับ ประกายไฟแลบเลย

(ถ้าเป็นลูกปืน ไม่รู้จะวิ่งมารับไหวไหม)

เอาเป็นว่า เครื่องราง มีทั้งไทยและเทศมาจากครั้งโบราณกาล จะหยิบเฉพาะชิ้นสำคัญมาเล่าเฉพาะคุณที่ชอบ ‘ ดูหมอ ’ และให้ ‘ หมอดู ’ คงไม่รู้ว่า สัญลักษณ์ของราศีแต่ละราศี แปลกดี เช่น

ราศีมังกร (ที่ตอนนี้วุ่นวายกับดาวพฤหัส+เสาร์)

รู้ไหมว่า สัญลักษณ์โบราณ

เคยเล่าแล้ว อักขระของไทยเป็นยันตร์

อย่าคิดว่าฝรั่งไม่มี ถ้าเขียน X รู้ไหม ไม่ใช่ ผิด

แต่อักษรรูน (RUNES) เป็นอักขระเก่าแก่ ทว่าใช้ติดต่อกับเทพได้

X อ่านว่า จีโบ (Gibo) แปลว่า มิตรภาพ

โซวิล – ขอให้มีความสำเร็จจ้ะ

วิม-ลา

 

0

article

 

                            คือยันตร์รูปสามเหลี่ยม ซ่อนกลับหัวกลับหาง          ถ้าดูแค่ภาพนี้นึกออกไหม ภาพอะไร ก็ภาพพีระมิดของอียิปต์ไง ถ้าทางฮินดู จะหมายถึงพระตรีมูรติ คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
                                             
                          ทั้งสามพระองค์รวมเป็น ‘พระตรีมูรติ’ จะหมุนเวียนกันปกครองจักรวาล หมุนตามเข็มนาฬิกา จากยุคพรหมาถึงยุคพระศิวะขึ้นปกครอง และบัดนี้ พระนารายณ์ขึ้นตำแหน่งสูงสุดแทน แปลว่าเป็นยุคแห่งการกวาดล้างทำลาย สีผิวของพระนารายณ์จะแปรจากเหลืองทองเป็นคำ

คิดเล่นๆก็ได้ ยุคนี้ทำไมเป็น กาลกาลียุค (กาละ -เวลา)

และทำไมพบ มวลสารมืด พลังงานมืดมากขึ้น

เมื่อหมุน  ซ้อนกัน จะเป็นดาวหกแฉก ในวงกลมของวัฏจักร ถ้าเป็นทางยุโรปจะเรียกดาวแห่งโซโลมอน หรือ ดาวแห่งเดวิด

และแม้แต่ผลึกแท่งแก้ว ปลายแหลม รูปทรงเขาพระสุเมร ก็คือ เครื่องราง ที่จะไม่กล่าวถึง เพราะจะเล่าถึงยันตร์ศรีจักระ ที่สามเหลี่ยมซ้อนกันเป็น 12 แฉก 16 แฉก บางยันตร์เก่าแก่มากๆ

สามเหลี่ยมจะซ้อนกัน ละเอียดยิบ

กิ่งกลางมี พินทุ

นึกออกไหม ก็ภาพ ‘ดอกบัวพันกลีบ’

จุดสหัสราระ กลางกระหม่อม

ทางเดินของ กุณฑาลินี ไฟศักดิ์สิทธิ์กลางกระดูกสันหลังไง

ยันตร์แบบนี้จึงเรียก ‘ยันตร์ศรีจักรามหาจักรวาล’

ทางพุทธมหายานของทิเบต แม้แต่ ภูฎาน มียันตร์แห่ง พุทธเกษตร คือ มันดารา เราเคยนำมาจากภูฎาน (หมดแล้ว) คนได้ไปขอให้บูชาให้ดี เพราะนอกจากเป็นดินแดน พุทธเกษตร ยังแทนค่าของ ‘การตกผลึก’ แห่งพลังงาน เพิ่งคิดออกกันละซิ.. เสียดาย ไม่ได้แบ่ง มันดารา ไว้.

คิดว่า จะจำลอง ศรีจักรามหายันตร์

ในพิธี ‘ศิวาราตรี’ ปี 64

อยากได้ก็รอก่อน เพราะ ไม่กล้าทำเล่นๆ

เคยคิดไหมว่า เครื่องหมายทางการแพทย์ รูปงู 2 ตัว พันกับไม้เท้า ก็คือ เครื่องราง

คุณแพทย์หมอ ทั้งหลายที่ปฏิเสธเครื่องราง ยาไทย ว่างมงาย

ขอเรียนด้วยความเคารพสุดยอดคอนโด (สูงกว่ายอดไม้)

ว่า ‘ท่านใช้เครื่องราง’ อยู่นะ

แล้วจะเล่า

วิม-ลา.

0