article



พิธีโปรยดอกไม้สีทอง (กลีบดอกดาวเรือง) สร้างเป็นสัญลักษณ์มงคล
เพื่อเป็นบุญถวายแด่องค์เทวา ณ ล้านนาเทวาลัย
.
การบูชาด้วยการโปรยดอกไม้ มีมาตั้งแต่ครั้งในอดีตมาจนกระทั้งถึงสมัยพุทธกาล
ดังปรากฏใน “สุวรรณปุปผิยเถราปทานที่ ๕ (๑๑๕)”
ว่าด้วยผลแห่งการโปรยดอกไม้ทอง ๔ ดอก (ดอกดาวเรือง) กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประทับนั่งแสดงอมตบทแก่หมู่ชนอยู่ มีผู้ฟังธรรม ได้โปรยดอกไม้ทอง ๔ ดอกบูชาแด่พระพุทธเจ้า
ดอกไม้ทองนั้นกลายเป็นหลังคาทองบังร่มตลอดทั่วบริษัท ในกาลนั้น รัศมีของพระพุทธเจ้าและรัศมีทองรวมเป็นแสงสว่างอันไพบูลย์ ผู้พบเห็นมีจิตเบิกบานดีใจ เกิดโสมนัส ประนมกรอัญชลี เกิดปิติสุข
.
ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม 8 ภาค 2 “อรรถกถาอโวปุปผิยเถราปทาน” มีการกล่าวถึง เถระองค์หนึ่งได้บำเพ็ญบุญสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ฟังพระธรรมเกิดความเลื่อมใส จึงเอาดอกไม้ต่างๆ ด้วยมือทั้งสอง เกลี่ยไว้เบื้องบนถวายแด่พระพุทธเจ้า ด้วยบุญกรรมนั้นทำให้ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย . ตามความเชื่อของชาวอินเดีย การโปรยดอกไม้เป็นการแสดงความเคารพ ศรัทธา และยกย่องให้เกียรติแก่ผู้ที่สูงศักดิ์ มักพบในงานมงคลเช่นงานแต่งงาน ความหมายของการโปรยดอกไม้คือการอวยพรให้ปราศจากภยันตรายและให้พบแต่ความโชคดี มีสุข มักพบในการสักการะเทพเจ้าในศาสนาฮินดู
.
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ทางล้านนาเทวาลัยได้ต้อนรับแขกคนสำคัญที่มาเยือนอย่างส่วนตัว
และได้เป็นตัวแทนคณะศรัทธาล้านนาเทวาลัยทุกท่านโปรยกลีบดอกไม้
.
โดยเลือกกลีบดอกดาวเรือง (กลีบสีทอง)
โปรยเป็นลายจักระบัวมงคล ถวายแด่องค์มหาเทพและพลังงานสูงสุด เพื่อให้งานใหญ่ที่ท่านจะจัดทำนั้น สำเร็จลุล่วงตามที่ตั้งไว้


ดอกไม้แห่งนิรันดร์กาล
ประโยคนี้มิได้เขียนให้ไพเราะเช่นในนวนิยาย แต่จะบอกว่า ดอกไม้แห่งนิรันดร์กาล เป็นดอกไม้ที่สดชื่นอยู่เสมอ ไม่มีวันตาย เป็นดอกไม้ที่บานอยู่ในชีวิตเราเอง
.
จริงหรือที่เราจะไม่ แก่ เจ็บ ตาย
เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราจะเรียน รู้ ได้และความทุกข์จะค่อยคลายที่ละน้อย
ทุกข์จะผ่านมา แล้วผ่านไป
ทุกข์ ..มันจะเป็นเช่นนั้นเอง..ตถตา
.
ฉะนั้นจากทุกข์นี้เอง ทำให้บังเกิดพระพุทธเจ้า ผู้ทรง ตื่น รู้ เบิกบาน เคยตั้งคำถามกับชาวพุทธเสมอ
พระพุทธเจ้า ทรงบังเกิดเมื่อใด
และ ทรงตรัสรู้อะไร
ธรรมใดที่ทรงแสดง โดยไม่ต้องอาราธนา
บางส่วนจะตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และบางส่วนก็จะยิ้ม คือ..ไม่รู้.. จึงเป็นปัญหาของชาวพุทธที่แม้แต่รายละเอียดบางประการ เราก็ ‘สักแต่ว่ารู้’ เช่นกัน
ก่อนที่ ‘พระพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดนั้น’
ท่านทรงเป็น ..เจ้าชายสิทธัตถะ และทรงเล่าเรียนกับโยคีจนจบ
แต่โยคศาสตร์และเวทศาสตร์ ตอบคำว่า ‘ทุกข์’ ไม่กระจ่าง
กระนั้น บางครั้งยามเอ่ยถึงพระองค์ ยังใช้คำ มหามุนี
และในวันเพ็ญ เดือนหก พระชนมายุ 35 พรรษา
จึงทรง ‘ตรัสรู้’ เป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(สมฺมาสมฺพุทโธ = ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ในอริยสัจ 4 โดยไม่ทรงเรียนรู้จากผู้ใด )
.
ฉะนั้นที่ทรงตรัสรู้ก่อนธรรมอื่นๆ คือ อริยสัจ 4 ประการ จากทุกข์ ที่ทรงพยายามหาคำตอบ เพราะเป็นรากเหง้าในหัวใจทุกคนจนทรงทราบ ‘ตลอดสาย’ ถึงเหตุ การดับทุกข์ และหนทางที่จะพ้นทุกข์
และท้ายสุด ทุกข์ มันจากตัวเองทั้งสิ้น
ฉนั้นที่เป็น ‘ตัวเรา’ มันมาจากอะไร
ปฏิจจสมุปบาท คือสิ่งที่อาศัยกันจึงเกิดขึ้น ทุกข์ก็เกิดจากการอาศัยกัน
และนี่คือ ข้อธรรมแรกแห่งการตรัสรู้
และเป็นธรรมที่ทรงแสดง ปฐมเทศนา แก่พระปัญจวัคคีย์
ณ วันเพ็ญ เดือน 8 หลังทรงตรัสรู้ 2 เดือน
อริยสัจ และปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นธรรมที่ทรงตรัสรู้ และสอนปัญจวัคคีย์ โดยยังมิต้องอาราธนา และจากปฏิจจสมุปบาท ทำให้คนชาวพุทธ เริ่มรู้ถึง รูปและนาม
.
ห่วงโซ่แห่งชีวิต
วิม-ลา
ภูตะวิทยา
หมวด ปิตะโทษะ
.
พลังงานเปลี่ยนรูปทางชีวภาพและการเกิดความร้อน
คำว่า ปิตะ คือการดูแลในทุกแง่มุมของ ความร้อน แสง สี ในร่างกาย
ปิตะ มาจากภาษาสันสกฤตว่า ตบะ ที่สร้างพลังงานและความร้อนในร่างกาย
ในทางการแพทย์ปัจจุบัน แปลว่า น้ำดี ด้วย
ที่ต้องอ้าง อายุรเวท ทางพระเวท ควบกับแพทย์ปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจ หากจะอ้างถึงการแพทย์ทั้งสองยุค (เก่า – ใหม่) ข้อสำคัญการรักษาทางอายุรเวทเก่า จะใช้สมุนไพร มากกว่ายาเคมีทางการแพทย์ปัจจุบันเพราะยาเคมี หากรับประทานมากๆ จะ ‘ร้อนใน’ ซึ่งเป็น โทษะ คือโทษแก่ร่างกาย (ไม่ใช่ โทสะ ที่แปลว่า ความโกรธ แต่ความโกรธ ก็ทำให้ หัวร้อน เป็นโทษหรือโทษะ ได้เช่นกัน)
.
ฉะนั้นจะถามว่า คุณไปแล้วโดนแสง วูบ-วาบ บาดตาใช่ไหม
กับ เสียงดนตรี ที่กระทุ้งดังแก้วหูแทบแตกใช่ไหม (ตอนแรกๆมันคึกคักดี)
คุณชอบดู คอนเสิร์ตใช่ไหม จะลูกทุ่ง ลูกกรุง (ลูกนอก) ชอบหมด
ทั้ง แสง – เสียง ต้องกระหึ่มใช่ไหม (ดังก้องจากหู – เข้าสู่สมอง)
.
และตอนนี้ ‘โรคที่ทั้งโลกวิตก’ คือโรค มือถือ เป็นพิษ คุณรู้บ้างไหม
คุณเป็นคนหนึ่งใน ‘มนุษย์ก้มหน้า’ ใช่ไหม (นั่งที่ไหน ดุแต่จอภาพมือถือ)
คุณชอบเล่นเกม อาศัย มือถือ มี ‘อากู๋’ เป็นอาจารย์ใช่ไหม
‘มือถือ’ เป็นเพื่อน เป็นอาจารย์ เป็นสารพัดจะเป็นใช่ไหม
คุณมีมือถือ แล้วไม่ต้องเสวนากับใครก็ได้ใช่ไหม
ลูกคุณต้องมี โทรศัพท์นี่แหละ ใช่ไหมถึงจะดูเป็น ‘ลูกผู้ดีมีกะตัง’
.
ฉะนั้น ทั้งคุณ ลูกคุณ นั่งฉีกเนตรอยู่หน้าจอทั้งวัน (งานของคุณก็อยู่กับคอมฯ)
พ่อค้า – แม่ค้า คิดเลขในใจไม่เป็น หากไม่มีมือถือ – คำนวณเงินให้
มือถือคือเทวดาพิทักษ์คุณในปัจจุบัน
สื่ออิเล็กโทรนิค จะมีอำนาจเหนือคุณ
อีกหน่อยคุณจะมีคนงาน ทั้งในที่ทำงาน – ทำงานบ้าน ด้วยหุ่นยนต์ (หลายบริษัทใช้หุ่นยนตร์แล้ว)
หุ่นยนตร์ จะ คิด ติดสินใจ เองได้ (และคล้ายมนุษย์)
หุ่นยนตร์จะกลับมาเป็น ‘นาย’ มนุษย์
โลกอิเล็กทรอนิค จะทำให้ ‘เสียจริต’
.
เตรียมตัวต้อนรับ ‘นาย’ คนใหม่
เรา/.

“กฤษณมูรติแห่งการเข้าใจชีวิต” แปลโดย คุณโสรีช์ โพธิแก้ว
.
วันนี้อยากให้หลายๆ คนลองอ่านจะ ‘เข้าใจชีวิต’ ความขัดข้องใจ ปัญหา และอุปสรรคหลายอย่าง ‘โดยถ่องแท้’
จะยกคำถามในหนังสือมาสักข้อ
.
..เหตุใดความปรารถนาของเราจึงไม่เป็นจริง เหตุใดจึงมีอุปสรรคมากมายที่ขัดขว้างเรา ไม่ให้ได้ทำ ในสิ่งที่ปรารถนาให้สมบูรณ์ ..
คำตอบของท่านกฤษณมูรติ จะยกย่อมาสั้นๆ เพราะใครปรารถนาจะรู้จริง จะต้องอ่านทั้งเล่ม 369หน้า จึงสมบูรณ์ ก็ทำไมจะอ่าน เพราะขณะนี้ผู้อ่านข้อความนี้ ก็คงมีปัญหา และอุปสรรคในใจมิใช่หรือ
.
ทุกข์อยู่ที่ท่าน เกิดด้วยท่าน มิได้มาจากที่อื่นเลย ท่านกฤษณมูรติ กล่าวว่า .. ถ้าต้องการให้ความปรารถนาของตัวเองสมบูรณ์ ต้องใส่ใจในการกระทำนั้นโดยไม่หวังผลจึงจะพึงได้กัน ไม่หวังให้ความปรารถนานั้น ตอบสนองความต้องการของตน ท่านจะไม่มีความกลัวว่า อุปสรรคจะเกิดหรือไม่เกิด หรือมีสิ่งกีดขวาง จะทำความปรารถนาให้สมบูรณ์ โดยไม่หวังผล
.
ภาวะที่ตนเองเป็น จะแตกต่างกับภาวะที่ตนเองอยากเป็น ในภาวะที่ ‘อยากเป็น.’ จะพบเมฆหมอกแห่งความกังวลใจอยู่เสมอ ความ ‘ไม่เต็ม’ จะเกิดขึ้น เพราะ ‘ความอยาก’ ของเราไม่เคยเต็ม ความต้องการ จะมีมากกว่าความมีอยู่ ผู้ใดมีความอิสระ จากความปรารถนาที่จะได้ การเป็นตนเองแท้ๆ จะเกิดขึ้น
.
จงมองดูว่า มันจะเป็นอย่างที่มันเป็น ‘ตถาคตา’ มันจะเป็นภาวะเหนือกาลเวลา มันจะไม่คิดถึง‘การเติมเต็มให้ตัวเอง’ เพราะ..ในที่สุด มันจะเติมเต็มให้ตัวเอง ความว่างมีอยู่ และเป็นอยู่ ในทุกสรรพสิ่ง ถ้าอธิบายละเอียด ลองอ่าน ‘ปรัชญาปารมิตา’
.
..ตัวเรา โลก ความคิด ความเชื่อ มี ‘ความว่าง’ ที่อาศัยสิ่งอื่นมาประกอบเป็นตัวตน และ สรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงเสมอ..
..เช่นกัน ลองหยุดคิด..วันวานเหมือนวันนี้หรือ วันนี้ ไม่มีเพราะพรุ่งนี้จะเปลี่ยน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จริงหรือ ?
.
เรา/.
उมยันติ่ .

